ร่างกายอ่อนแรง ท้องไส้ปั่นป่วนเพราะอะไร? วิธีแก้ไขที่มีประสิทธิภาพ

ทำไมคนถึงรู้สึกเหนื่อยและท้องร้อง? การเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ

ความรู้สึกเหนื่อยล้าพร้อมท้องร้อง อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ แต่หากอาการนี้เป็นมาอย่างยาวนาน อาจเป็นสัญญาณบอกถึงปัญหาในระบบย่อยอาหาร เช่น โรคลำไส้อักเสบใหญ่หรือภาวะลำไส้แปรปรวน

ร่างกายอ่อนแรง ท้องไส้ปั่นป่วนเพราะอะไร?
ร่างกายอ่อนแรง ท้องไส้ปั่นป่วนเพราะอะไร?

1. สาเหตุของอาการเหนื่อยล้า ท้องร้อง

ความรู้สึกเหนื่อยล้าเฉียบพลันพร้อมกับท้องร้อง อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและกระทบต่อการใช้ชีวิต ต่อไปนี้คือสาเหตุที่อาจซ่อนอยู่สำหรับอาการเหล่านี้

1.1 พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม

การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมคือการบริโภคอาหารที่ไม่เป็นไปตามโภชนาการที่ร่างกายต้องการ การไม่รับประทานอาหารที่เพียงพอทั้งปริมาณและคุณภาพ จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียและท้องร้อง นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสมยังส่งผลให้การทำงานของอวัยวะภายในเสื่อมลงอีกด้วย อาหารที่ไม่เหมาะสมประกอบด้วยดังนี้

  • อาหารที่มีน้ำตาล ไขมัน และอาหารแปรรูปสูง การบริโภคอาหารเหล่านี้มากเกินไป อาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รู้สึกท้องร้องและเหนื่อยล้าหลังรับประทานอาหาร
  • การทานอาหารมากเกินไปหรือทานน้อยเกินไป การทานอาหารมากเกินไปจะทำให้กระเพาะอาหารทำงานหนักเกินไป ทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อยและเหนื่อยล้า การทานน้อยเกินไปจะทำให้ร่างกายขาดพลังงาน ส่งผลให้เกิดอาการท้องร้องและอ่อนเพลีย
  • การรับประทานอาหารเร็วเกินไป การทานอาหารเร็วเกินไปทำให้ไม่มีการเคี้ยวอาหารอย่างละเอียด จึงทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อยและแน่นท้อง
  • ทานอาหารดึกเกินไป: หากรับประทานอาหารก่อนนอนไม่นาน ร่างกายจะไม่มีเวลาในการย่อยอาหาร ทำให้เกิดอาการแน่นท้อง นอนไม่หลับ และตื่นมาแล้วรู้สึกเพลียเมื่อย 
การกินแบบผิดหลักวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและความหิว
การกินแบบผิดหลักวิทยาศาสตร์ทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและความหิว

1.2. ขาดการนอนไม่หลับ 

ขาดการนอนหลับ หรือหลับไม่สนิท ส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต เมื่อร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ จะก่อให้เกิดผลกระทบต่างๆ เช่น ร่างกายอยู่ในภาวะขาดพลังงาน ทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยทั้งกายและใจ นอกจากนี้ ยังทำให้สมาธิ ความคิด และความจำลดลงด้วย 

การนอนหลับมีบทบาทสำคัญในการช่วยซ่อมแซมความทรงจำและการเรียนรู้ เมื่อนอนไม่หลับ สมองจะไม่มีเวลาประมวลข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ประสิทธิภาพในการจดจำ การเรียนรู้ และสมาธิแย่ลง นอกจากนี้ ระบบทางเดินอาหารก็ได้รับผลกระทบจากการนอนหลับด้วย เมื่อนอนไม่หลับ จะทำให้การทำงานของระบบทางเดินอาหารผิดปกติ ก่อให้เกิดปัญหาเช่น ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก หรือท้องเสีย 

1.3. ความเครียด

ความเครียดไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายด้วย เมื่อความเครียดยืดเยื้อ ร่างกายจะอยู่ในภาวะ “ต่อสู้หรือหนี” อยู่ตลอดเวลา ก่อให้เกิดผลกระทบต่างๆ ตามมา

คนที่มีอาการท้องอืดและท้องอืดอาจเกิดจากความเครียดในใจมากเกินไป
คนที่มีอาการท้องอืดและท้องอืดอาจเกิดจากความเครียดในใจมากเกินไป

1.4 เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่เป็นประจำ 

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกจากจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมแล้ว ยังส่งผลเสียต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและอ่อนเพลียได้อีกด้วย

นอกจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และคาเฟอีนแล้ว ควันบุหรี่นับเป็นอีกหนึ่งศัตรูตัวฉกาจของระบบทางเดินอาหาร ควันบุหรี่มีสารพิษมากมายที่อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของปอดลดลง เกิดการบาดเจ็บที่เยื่อบุหลอดอาหาร และกระตุ้นให้กระเพาะผลิตน้ำย่อยในปริมาณมาก

1.5 ปัญหาทางเดินอาหาร 

นอกเหนือจากนิสัยการกินอาหารแล้ว ปัญหาทางสุขภาพบางประการก็อาจทำให้เกิดอาการปวดเกร็งและความอ่อนล้าเรื้อรังได้ เช่น

  • โรคกระเพาะ: โรคกระเพาะที่เกิดจากแบคทีเรีย H. pylori หรือการใช้ยาแก้ปวดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ทำให้เยื่อบุกระเพาะเกิดการบาดเจ็บ ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น แสบร้อนกลางอก ย่อยยาก คลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้อง 
  • โรคในลำไส้อักเสบ: โรคในลำไส้อักเสบครอบคลุมถึงโรคโครห์นและลำไส้ใหญ่เสื่อมจากภูมิคุ้มกัน (ลำไส้ใหญ่เสื่อมที่ไม่ได้เกิดจากแบคทีเรีย) โรคเหล่านี้ก่อให้เกิดการอักเสบและการระคายเคืองในลำไส้ ส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ท้องเสีย ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด ลดน้ำหนัก และอ่อนล้า 
  • โรคลำไส้แปรปรวน (IBS): IBS เป็นภาวะความผิดปกติของลำไส้ที่พบบ่อย ก่อให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดท้อง ท้องอืด ท้องเสียหรือท้องผูก รวมถึงท้องร้องและเหนื่อยล้า
  • โรค Crohn: โรค Crohn เป็นโรคอักเสบเรื้อรังที่เกิดขึ้นได้กับทางเดินอาหารส่วนใดก็ได้ อาการของโรค ได้แก่ ท้องเสีย ปวดท้อง มีไข้ น้ำหนักลด อ่อนเพลีย และโลหิตจาง
  • ท้องผูก ท้องผูกคือการขับถ่ายอุจจาระยาก ลำบาก โดยอุจจาระจะมีลักษณะแข็งและแห้ง ท้องผูกอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ไม่สบายท้อง ปวดท้อง และอ่อนเพลีย 
สาเหตุของความเหนื่อยล้าอย่างมากอาจเป็นเพราะความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร
สาเหตุของความเหนื่อยล้าอย่างมากอาจเป็นเพราะความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร

1.6 การขาดสารอาหาร

 ภาวะที่ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นบางชนิด เช่น ธาตุเหล็ก วิตามินบี 12 และโฟเลต อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย และส่งผลกระทบในด้านลบต่อสุขภาพโดยรวม รวมทั้งระบบทางเดินอาหาร ผลกระทบจากการขาดสารอาหาร: 

  • อ่อนเพลีย ธาตุเหล็กมีบทบาทสำคัญในการลำเลียงออกซิเจนไปยังเซลล์ เมื่อร่างกายขาดธาตุเหล็ก ร่างกายจึงไม่ได้รับออกซิเจนเพียงพอ จึงทำให้อ่อนเพลีย ไม่มีแรง วิตามินบี 12 ก็จำเป็นต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงเช่นกัน ดังนั้น การขาดวิตามินบี 12 ก็อาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียได้ โฟเลตมีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการสังเคราะห์ดีเอ็นเอ เมื่อร่างกายขาดโฟเลต อาจส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์และนำไปสู่ภาวะอ่อนเพลียได้ 
  • ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวม การขาดสารอาหารสำคัญอาจส่งผลต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายหลายส่วน รวมทั้งระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ฯลฯ 
  • ส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร การขาดธาตุเหล็กอาจทำให้ท้องผูก ส่วนการขาดวิตามินบี 12 อาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย ท้องอืด ไม่ย่อย

1.7. ผลข้างเคียงของยาที่ใช้ในการรักษา

การใช้ยาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะกลุ่มยต่อไปนี้ อาจทำให้เกิดความรู้สึกอ่อนเพลียและแน่นท้องได้:

  • ยากดภูมิคุ้มกัน: กลุ่มยานี้มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายตอบสนองต่อเชื้อโรคน้อยลง แต่ก็อาจส่งผลต่อระบบย่อยอาหาร ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น คลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดท้อง และอ่อนเพลีย
  • ยาสเตียรอยด์: สเตียรอยด์เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบและกดภูมิคุ้มกัน อย่างไรก็ตาม การใช้สเตียรอยด์เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ท้องอืด อาหารไม่ย่อย และอ่อนเพลีย
  • ยาแก้ปวดลดอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAID): NSAID เป็นกลุ่มยาที่มีฤทธิ์แก้ปวดและต้านการอักเสบ อย่างไรก็ตาม การใช้ NSAID เป็นเวลานานอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ท้องเสีย และอ่อนเพลีย

กลไกการออกฤทธิ์ของกลุ่มยาเหล่านี้อาจส่งผลต่อการทำงานและการทำงานของระบบย่อยอาหารในหลายๆ ด้าน เช่น สเตียรอยด์อาจลดการสร้างเมือกในกระเพาะอาหาร ซึ่งนำไปสู่แผลในกระเพาะอาหาร NSAID อาจยับยั้งการสร้างพรอสตาแกลนดิน ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ปกป้องเยื่อบุในกระเพาะอาหาร ซึ่งนำไปสู่แผลในกระเพาะอาหารและอาการท้องเสีย

ยาทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อย
ยาทำให้ร่างกายรู้สึกเหนื่อย

1.8 ปัญหาสุขภาพอื่นๆ

 นอกเหนือจากนิสัยการกินที่ไม่ดีแล้ว อาการเหนื่อยล้าและคลื่นไส้อาจเป็นสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพบางอย่าง ซึ่งรวมถึง:

  • โรคโลหิตจาง: เมื่อร่างกายขาดเม็ดเลือดแดงหรือฮีโมโกลบิน ปริมาณออกซิเจนที่ส่งไปยังเซลล์จะลดลง ทำให้เกิดความเหนื่อยล้า ผิวซีด เวียนหัว และคลื่นไส้
  • โรคเบาหวาน: เมื่อร่างกายไม่ผลิตอินซูลินเพียงพอหรือไม่สามารถใช้อินซูลินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปริมาณน้ำตาลในเลือดจะเพิ่มขึ้น อาการเหล่านี้อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้า กระหายน้ำ ถ่ายปัสสาวะบ่อย มองไม่ชัด และคลื่นไส้
  • ภาวะไทรอยด์ทำงานไม่เพียงพอ: ต่อมไทรอยด์มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอัตราการเผาผลาญของร่างกาย เมื่อต่อมไทรอยด์ทำงานได้ไม่ดี ร่างกายอาจเกิดอาการต่างๆ เช่น ความเหนื่อยล้า น้ำหนักเพิ่มขึ้น ผิวแห้ง ท้องผูก และคลื่นไส้
  • ความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่ออื่นๆ: ความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่ออื่นๆ เช่น กลุ่มอาการรังไข่หลายใบ (PCOS) หรือกลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) อาจทำให้เกิดความเหนื่อยล้าและคลื่นไส้ได้เช่นกัน

2. วิธีคลายความเหนื่อยและอาการท้องอึด

ความรู้สึกเหนื่อยล้าและท้องอืดหลังทานอาหารมีผลต่อสุขภาพกายและใจของคุณ อย่างไรก็ตาม อย่ากังวล คุณสามารถจัดการกับภาวะนี้ได้อย่างง่ายดายด้วยวิธีแก้ไขดังต่อไปนี้

  • การนอนหลับให้เพียงพอ: การนอนหลับมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูสุขภาพ ถ้านอนให้เพียง 7-9 ชั่วโมงในแต่ละคืนเพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูพลังงาน
  • จัดการความเครียด: ความเครียดอาจส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหาร ทำให้เหนื่อยล้าและท้องอืด ลองฝึกโยคะ นั่งสมาธิ หรือหาเวลาทำกิจกรรมที่ชื่นชอบเพื่อคลายความเครียด
  • รับประทานอาหารอย่างถูกต้อง: อาหารที่มีสารอาหารที่สมดุลและครบถ้วนเป็นกุญแจสำคัญสู่สุขภาพที่ดี กินผักใบเขียว ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไม่ติดมันให้มากขึ้น ลดอาหารรสจัด อาหารที่มีไขมันสูง อาหารหวาน และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ: กิจกรรมทางกายช่วยเสริมสร้างสุขภาพ ปรับปรุงอารมณ์ และลดความเหนื่อยล้า อย่างไรก็ตาม ต้องออกกำลังกายแบบพอประมาณ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายมากเกินไปเมื่อเหนื่อยล้า
  • ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต: ลด ละ เลิกบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และมีวิถีชีวิตที่สมดุล หลีกเลี่ยงการนอนดึก นอนหลับไม่เพียงพอ และทำงานหนักเกินไป
  • เปลี่ยนแปลงนิสัยการกิน: แบ่งอาหารออกเป็นหลายๆ มื้อเล็กๆ ตลอดทั้งวันแทนที่จะกินมื้อหลัก 3 มื้อ กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด และหลีกเลี่ยงการกินจนแน่นท้อง
  • ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ถ้าคุณเหนื่อยล้าและท้องอืดเป็นเวลานาน หรือรุนแรงขึ้น ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและการรักษาที่เหมาะสม
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและสมเหตุสมผลจะช่วยลดความรู้สึกเหนื่อยล้าและท้องอืดได้
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและสมเหตุสมผลจะช่วยลดความรู้สึกเหนื่อยล้าและท้องอืดได้

3. โพรไบโอติก BIOPRO แก้ปัญหาระบบย่อยอาหารครบวงจร

โพรไบโอติก BIOPRO เป็นโซลูชั่นที่ครอบคลุมสำหรับปัญหาระบบย่อยอาหาร รวมถึงภาวะลำไส้แปรปรวนที่มีการเจริญผิดปกติของแบคทีเรียในลำไส้ ผลิตภัณฑ์นี้ประกอบด้วยจุลินทรีย์ชนิด Bacillus subtilis, Bacillus Clausii และ Bacillus Coagulans พร้อมกับ Zinc Gluconate ช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และสังกะสี ช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ BIOPRO เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการท้องเสีย อุจจาระเหลว ท้องผูก ท้องอืด และย่อยอาหารลำบาก รวมถึงผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน การใช้ BIOPRO สามารถช่วยลดความเสี่ยงของภาวะลำไส้แปรปรวน ทำให้รู้สึกสบายตัว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

4. เอกสารอ้างอิง

https://www.goodnessme-nutrition.com/gut-health/why-stomach-rumbling

https://www.health.com/reasons-you-feel-so-tired-after-eating-8403407

0948358177