ยาลำไส้ใหญ่ถือเป็น “ผู้ช่วยชีวิต” สำหรับผู้ที่มีปัญหาทางเดินอาหารโดยเฉพาะอาการท้องผูก แต่คุณรู้หรือไม่ว่ายารักษาลำไส้ใหญ่ประเภทใด: การจำแนกประเภทและการใช้แต่ละกลุ่มเป็นอย่างไร? มาหาคำตอบได้ในบทความนี้กับ bioprothailand กันเถอะ
1. ยาระบาย
ยาระบายเป็นกลุ่มยาที่ทำให้อุจจาระนิ่ม กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยให้คุณถ่ายอุจจาระได้ง่ายขึ้น มักใช้รักษาอาการท้องผูกชั่วคราวที่เกิดจากการรับประทานอาหาร ขาดการเคลื่อนไหว หรือผลข้างเคียงของยาอื่นๆ บางชนิด
ปัจจุบันมียาหลายชนิดในท้องตลาด ขึ้นอยู่กับแบบ เช่น แคปซูล ยาเม็ด สวนทวารหนัก ยาเหน็บ หรือของเหลว แต่ละประเภทจะมีข้อดีข้อเสียต่างกันไปตามสภาพของผู้ป่วยและวิธีปรับตัวให้เข้ากับยา
1.1. ยาระบายแบบหล่อลื่น
ยากลุ่มนี้มีส่วนประกอบหลักคือน้ำมันแร่หรือซิลิโคนเจลซึ่งทำหน้าที่เป็นชั้นลื่นที่ปกคลุมเยื่อบุลำไส้ทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวผ่านทางเดินอาหารได้ง่ายขึ้น มักใช้รักษาอาการท้องผูกชั่วคราวที่เกิดจากการรับประทานอาหาร ขาดการเคลื่อนไหว หรือผลข้างเคียงของยาอื่นๆ บางชนิด
แม้ว่ายาระบายหล่อลื่นจะมีประสิทธิภาพในการแก้ไขอาการท้องผูกได้อย่างรวดเร็ว แต่ใช้ในระยะยาวอาจทำให้เกิดความเสี่ยงได้มากมาย
- น้ำมันแร่ในยาอาจยับยั้งการดูดซึมวิตามิน A, D, E และ K ที่สำคัญต่อร่างกาย
- ใช้ในเวลานานอาจทำให้ลำไส้ “ขี้เกียจ” ทำงานได้ ส่งผลให้ต้องติดยาและท้องผูกรุนแรงมากขึ้น
- น้ำมันแร่สามารถลดประสิทธิภาพของยาบางชนิดที่ต้องสั่งโดยแพทย์ ซึ่งส่งผลต่อกระบวนการรักษา
1.2. ยาระบายช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ
ยาออกฤทธิ์โดยตรงกับกล้ามเนื้อลำไส้ ส่งเสริมการหดตัวของลำไส้อย่างรุนแรง เร่งกระบวนการเคลื่อนย้ายอุจจาระ ด้วยเหตุนี้ อุจจาระจึงระบายออกได้อย่างรวดเร็ว ช่วยให้คุณจัดการกับอาการท้องผูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ยายังช่วยดึงน้ำเข้าไปในลำไส้ ทำให้อุจจาระนิ่มและเคลื่อนย้ายได้ง่ายขึ้น ช่วยลดความรู้สึกไม่สบายเมื่อถ่ายอุจจาระ ยาระบายบางชนิดให้ไฟเบอร์แบบไซเลี่ยม เมทิลเซลลูโลส เดกซ์แทรนข้าวสาลี แคลเซียมโพลีคาร์โบฟิล ไฟเบอร์ช่วยเพิ่มปริมาณอุจจาระ กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ และลดอาการท้องผูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของยาระบาย ควรรับประทานยาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนรับประทานอาหาร และ 2 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ เพื่อให้มั่นใจว่ายาจะได้ดูดซึมได้ดีที่สุด
1.3. ยาระบายทำให้อุจจาระนิ่ม
Docusate Sodium ถือเป็นส่วนผสมยอดนิยมในกลุ่มยาระบายที่ทำให้อุจจาระนิ่ม โดยมีผลทำให้ “อุจจาระนิ่มและหล่อลื่นให้ขับถ่ายง่ายขึ้น
โดยปกติยาระบายที่มี Docusate Sodium จะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์หรือนานกว่านั้นถึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด สาเหตุเป็นเพราะยาช่วยเพิ่มความชื้นในอุจจาระเป็นหลัก ทำให้อุจจาระนิ่มและเคลื่อนตัวผ่านลำไส้ได้ง่าย กระบวนการนี้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและต้องใช้เวลาถึงจะมีประสิทธิภาพ
ยาระบายที่มี Docusate Sodium มักกำหนดไว้สำหรับ:
- ผู้หญิงที่เพิ่งคลอดลูก: ช่วยให้อาการท้องผูกดีขึ้นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหลังคลอด
- ผู้ที่เป็นริดสีดวงทวาร: ลดความเจ็บปวดและมีเลือดออกเมื่อถ่ายอุจจาระ
- ผู้ป่วยที่ต้องการพักฟื้นหลังผ่าตัด: ช่วยให้การทำงานของยาระบายกลับมาเป็นปกติหลังจากผ่าตัด
1.4. ยาระบายกลุ่มออสโมซิส
ยาระบายกลุ่มออสโมซิสมักจะมีส่วนประกอบหลัก เช่น แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ ลูคาโตส ฟลีทฟอสโฟ-โซดา โพลีเอทิลีนไกลคอล แลคติทอล ลักษณะพิเศษของยากลุ่มนี้อยู่ที่กลไกการออกฤทธิ์ “ดูดซึมน้ำ” อันเป็นเอกลักษณ์ น้ำได้ดึงจากเนื้อเยื่อรอบๆ เข้าสู่ลำไส้ และปริมาณน้ำนี้ทำให้อุจจาระนิ่มและขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการใช้งาน คุณต้องทราบด้วย:
- เมื่อใช้ยาระบายกลุ่มออสโมซิสจะต้องดื่มน้ำมากขึ้นเพื่อชดเชยปริมาณน้ำที่ “ดูด” เข้าไปในลำไส้
- การขาดน้ำอาจทำให้ท้องอืดและไม่สบายได้
1.5. ยาระบายตามใบสั่งแพทย์
นอกจากยาระบายที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์แล้ว บางกรณีที่มีอาการท้องผูกรุนแรงหรือเป็นระยะยยาวอาจต้องได้รับความช่วยเหลือจากยาระบายตามใบสั่งแพทย์ที่แพทย์สั่งจ่าย ยากลุ่มนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องมืออันทรงพลังในการแก้ปัญหาการย่อยอาหารแบบถาวร
ตัวอย่างเช่น ยา Plecanatide ใช้ในการรักษาอาการท้องผูกในผู้ที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวนที่มีอาการท้องผูกหรือท้องผูกเรื้อรังไม่ทราบสาเหตุ
อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้ยากลุ่มนี้ คุณต้องใส่ใจกับปัญหาบางประการด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงผลที่ตามมาที่ไม่พึงประสงค์:
- ยาระบายตามใบสั่งแพทย์ไม่เหมาะสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี
- ให้เด็กใช้ยาอาจทำให้ท้องเสียหรือขาดน้ำอย่างรุนแรง
- ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาระบาย โดยเฉพาะยาที่ต้องสั่งโดยแพทย์
1.6. ยาระบายชนิดกระตุ้น
เมื่อมีอาการท้องผูก คุณสามารถขอความช่วยเหลือจากยาระบายกระตุ้นที่สามารถช่วยคุณแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์โดยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อลำไส้หดตัวแรง และสร้างแรงกดดันให้ดันอุจจาระออกมา ช่วยให้อุจจาระขับออกจากร่างกายได้อย่างรวดเร็ว
ยากลุ่มนี้มักจะให้ผลลัพธ์ดี โดยปกติภายใน 6-12 ชั่วโมงหลังการใช้จะรู้สึกได้ถึงผลที่ชัดเจน
แต่เมื่อใช้ยากลุ่มนี้ คุณต้องคำนึงถึงบางสิ่งด้วย:
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์: การใช้ยาระบายกระตุ้นมากเกินไปอาจทำให้เกิดผลร้ายแรงหลายประการ เช่น:
- ทำให้การทำงานของระบบถ่ายอุจจาระตามธรรมชาติของร่างกายลดลง ทำให้คุณต้องพึ่งยาในการถ่ายอุจจาระ
- ทำให้เกิดการระคายเคืองของเยื่อเมือกในลำไส้ ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ภาวะขาดน้ำ และความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์
- ส่งผลต่อความสามารถของร่างกายในการดูดซึมสารอาหาร
- ไม่ควรใช้บ่อยๆ ควรใช้ยาระบายกระตุ้นเฉพาะช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น (สูงสุด 2 วัน) และไม่เกิน 2 ครั้งต่อสัปดาห์
2. เมื่อไหร่ควรใช้ยาระบาย?
ยาระบายควรใช้เฉพาะเมื่อคุณมีปัญหาทางเดินอาหาร เช่น ท้องผูก ท้องเสีย หรือเคลื่อนย้ายอุจจาระผ่านระบบย่อยอาหารได้ยากเท่านั้น การเลือกยาที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้บรรลุประสิทธิผลสูงสุดและหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์
เมื่อใช้ยาระบายควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ แพทย์จะประเมินสภาวะสุขภาพของคุณและสั่งยาที่เหมาะสม พร้อมทั้งให้คำแนะนำวิธีใช้ยาอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ คุณควรหลีกเลี่ยงรักษาเองที่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีปัญหาด้านสุขภาพอยู่
ใช้ยาระบายอย่างเหมาะสมสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม การใช้ในทางที่ผิดหรือในทางที่ผิดอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ร้ายแรง ส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว
- ความผิดปกติของการเคลื่อนไหวของลำไส้: ทำให้เกิดอาการท้องผูกรุนแรงมากขึ้น อัมพาตลำไส้เล็กส่วนต้น ลำไส้แปรปรวน ตับอ่อนอักเสบและปัญหาทางเดินอาหารอื่นๆ อีกมากมาย
- ภาวะขาดน้ำและอิเล็กโทรไลต์ไม่สมดุล: ยาระบายสามารถทำให้คุณขาดน้ำและสูญเสียอิเล็กโทรไลต์ที่สำคัญ เช่น โพแทสเซียมและโซเดียม นำไปสู่ความเหนื่อยล้า ตะคริว หัวใจเต้นผิดจังหวะ และปัญหาสุขภาพอื่นๆ
- ความสามารถในการดูดซับสารอาหารลดลง: ใช้ยาระบายเป็นประจำอาจส่งผลต่อความสามารถของร่างกายในการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็น ซึ่งนำไปสู่ภาวะทุพโภชนาการ
- ทำให้ติดยา: ใช้ยาระบายในเวลานานอาจทำให้ลำไส้ “ขี้เกียจ” สูญเสียความสามารถในการหดตัวตามธรรมชาติ และต้องพึ่งยาในการถ่ายอุจจาระ
3. สิ่งที่ควรทราบเมื่อใช้ยาระบาย
ยาระบายอาจเป็นวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการท้องผูกชั่วคราว อย่างไรก็ตาม การใช้ยาควรได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบและควรใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ข้อควรทราบบางประการเมื่อคุณใช้ยาระบาย
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร: ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาระบาย แพทย์หรือเภสัชกรจะแนะนำยาที่เหมาะสมกับอาการของคุณและแนะนำวิธีใช้ยาอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ อย่าใช้ยาตามอำเภอใจหรือเพิ่มหรือลดปริมาณยาเองตามใจชอบ
- ใช้ยาถูกวิธี: รับประทานยาตามปริมาณและเวลาให้ถูกต้องตามที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์หรือตามคำแนะนำของแพทย์
- ติดตามผลข้างเคียง: ยาระบายบางชนิดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ท้องเสีย คลื่นไส้ ปวดท้อง ฯลฯ หากคุณพบผลข้างเคียงใดๆ ให้หยุดใช้ยาและแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ
กรณีที่ไม่ควรใช้ยาระบาย:
- ไม่ใช้ยาระบายหากคุณมีอาการลำไส้อุดตัน ไส้ติ่งอักเสบ มีเลือดออกทางทวารหนัก หรือมีปัญหาทางเดินอาหารเฉียบพลัน
- ห้ามใช้ยาระบายกับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปีโดยไม่ได้รับใบสั่งแพทย์
- สตรีมีครรภ์หรือให้นมลูกควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาระบาย
นอกจากนี้ คุณยังต้องใส่ใจกับประเด็นอื่นๆ เช่น:
- ยาระบายควรเก็บไว้ในที่แห้งและเย็น ห่างจากแสงแดดโดยตรง
- เก็บยาให้พ้นมือเด็ก
- อย่าใช้ยาที่หมดอายุหรือมีสัญญาณของความเสียหาย
4. โปรไบโอติก – สนับสนุนการย่อยอาหารแข็งแรง
โปรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ที่มีชีวิตซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพของลำไส้ มีบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และปกป้องร่างกายจากสารที่เป็นอันตราย
โปรไบโอติกช่วยสลายอาหาร ดูดซับสารอาหาร และลดความเสี่ยงของอาการท้องผูก ท้องเสีย ท้องอืด และอาหารไม่ย่อย 70% ของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอยู่ที่ลำไส้ โปรไบโอติกช่วยเสริมสร้างชั้นปกป้องระบบลำไส้ ป้องกันการบุกรุกของแบคทีเรียชนิดร้าย และเพิ่มการผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ ระบบย่อยอาหารและสมองยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอีกด้วย โปรไบโอติกช่วยลดอาการวิตกกังวลและซึมเศร้า และช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น
โปรไบโอติก BIOPRO – โปรไบโอติกที่ขายดีที่สุดในอเมริกาและญี่ปุ่นนานกว่า 10 ปี จำหน่ายแล้วในประเทศไทย เพื่อรองรับและเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของระบบย่อยอาหาร
BIOPRO เป็นผลิตภัณฑ์เสริมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์สำหรับลำไส้ ซึ่งประกอบด้วยแบคทีเรียที่มีประโยชน์ 5 พันล้านตัวที่อยู่ใน 4 สายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดในระบบย่อยอาหาร: Bacillus clausii, Bacillus subtilis, Bacillus coagulans และ Xylooligosaccharides (XOS)
ประสิทธิภาพสูง:
- Bacillus clausii: ปรับปรุงจุลินทรีย์ ทำลายแบคทีเรียชนิดร้าย ปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้
- Bacillus subtilis: หลั่งเอนไซม์ย่อยอาหาร ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการอาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเสีย และท้องผูก
- Bacillus coagulans: เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยต่อสู้กับโรค และฟื้นฟูหลังเจ็บป่วย
- Xylooligosaccharides (XOS): กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เพิ่มการผลิตเซลล์ภูมิคุ้มกัน อินเตอร์ลิวคิน อินเตอร์เฟอรอน เสริมภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
- ปลอดภัย: ไม่มีสารเพิ่มปริมาณและสารเติมแต่ง เป็นมิตรกับจุลินทรีย์ในลำไส้
BIOPRO จะนำความสมดุลมาสู่จุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และขจัดอาการไม่พึงประสงค์ในระบบทางเดินอาหารโดยสิ้นเชิง