โรคลำไส้ที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งที่ทำให้ลำไส้รั่ว เนื้อร้ายในลำไส้ เยื่อบุช่องท้องอักเสบ หรือแม้กระทั่งเสียชีวิต ก็คือ ลำไส้อุดตัน แล้วลำไส้อุดตันคืออะไร? เรียรู้สาเหตุและวิธีรักษาอย่างปลอดภัยกับ bioprothailand ได้ในบทความนี้
1. ลำไส้อุดตันคืออะไร?
ลำไส้อุดตันคือภาวะที่การไหลเวียนในลำไส้หยุดลง ทำให้อาหาร น้ำย่อย และก๊าซเคลื่อนไหวได้ไม่ปกติ ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ในลำไส้เล็กหรือลำไส้ใหญ่
ลำไส้อุดตันเป็นโรคที่อันตรายและพบบ่อยในทุกช่วงอายุ ทั้งเด็กแรกเกิด (เรียกว่าลำไส้อุดตันในเด็กแรกเกิด) และผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตามผู้สูงอายุเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อโรคนี้มากที่สุด
หากไม่ได้ตรวจพบและรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ลำไส้อุดตันอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอันตรายมากมายที่ส่งผลโดยตรงต่อชีวิตของผู้ป่วย
ผู้ป่วยอาจมีอาการลำไส้อุดตันได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่ การยึดเกาะของลำไส้ เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ภาวะการหมุนตัวของลำไส้ไม่สมบูรณ์ โรคลำไส้อักเสบ ไส้เลื่อน ไส้ติ่งอักเสบ โรคถุงผนังลำไส้อักเสบ เนื้องอก ภาวะขาดเลือดในลำไส้ วัณโรคในลำไส้ และภาวะลำไส้กลืนกัน
2. สาเหตุทั่วไปของการอุดตันในลำไส้
ลำไส้อุดตันอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่มี 2 สาเหตุพบบ่อย และแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม:
2.1. สาเหตุทางกล
- ไส้เลื่อน: ลำไส้ส่วนหนึ่งยื่นออกมาจากตำแหน่งปกติ
- ภาวะการหมุนตัวของลำไส้ไม่สมบูรณ์: ลำไส้บิดตัว ทำให้เลือดและออกซิเจนไหลเวียนไม่สะดวก
- ภาวะลำไส้กลืนกัน: ลำไส้ส่วนหนึ่งหลุดเข้าไปในลำไส้อีกส่วนหนึ่ง
- อุจจาระอุดตัน: เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีเส้นใยต่ำ ท้องผูกระยะยาว
- อุดตันในผนังลำไส้เนื่องจากมีสิ่งแปลกปลอม อาหาร พยาธิ หรือนิ่วตกลงไปในลำไส้
2.2. สาเหตุเชิงกล
- อัมพาตของลำไส้: เกิดจากความเสียหายของเส้นประสาทหรือหลังการผ่าตัด
- โรค Crohn
- โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ
- การใช้ยา: ยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวด opioid อาจทำให้ท้องผูกและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลำไส้อุดตัน
3. 5 อาการลำไส้อุดตันพบได้บ่อย
การตรวจพบอาการของโรคลำไส้อุดตันแต่เนิ่นๆ และการรักษาอย่างทันท่วงทีมีความสำคัญอย่างมากต่อผู้ป่วย อาการของโรคลำไส้อุดตันอาจพบได้ในภาวะต่างๆ ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรง
5 อาการของลำไส้อุดตันที่พบได้ทั่วไปที่คุณต้องสังเกต ได้แก่:
- ปวดท้อง: อาการนี้เป็นอาการที่พบได้ทั่วไปที่สุดของภาวะลำไส้อุดตัน อาการปวดอาจรุนแรง บิดเกร็ง หรือเป็นๆ หายๆ มักเกิดขึ้นบริเวณกลางท้องหรือท้องน้อย อาการปวดอาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ปวดตลอดเวลา 2-3 นาที และค่อยๆ ทุเลาลง
- คลื่นไส้และอาเจียน: อาการอาเจียนเป็นอาการลำดับที่สองที่พบได้บ่อยของลำไส้อุดตัน ผู้ป่วยอาจอาเจียนอาหารของเหลวในกระเพาะอาหาร หรือน้ำดี เมื่ออาเจียน ร่างกายของผู้ป่วยจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่
- ท้องอืด: เมื่อลำไส้อุดตัน ก๊าซและของเหลวไม่สามารถไหลผ่านลำไส้ได้ จึงทำให้ท้องอืดและท้องเฟ้อ ท้องอาจตึง แน่น และอาจรู้สึกเจ็บปวดเมื่อกด
- ท้องผูก: ผู้ป่วยไม่สามารถถ่ายอุจจาระหรือผายลมได้ อาการนี้เป็นสัญญาณที่สำคัญและอันตรายมากของลำไส้อุดตัน
- ลำไส้ทำงานน้อยลง: เมื่อลำไส้อุดตัน การบีบตัวของลำไส้จะลดลงหรือหยุดลง ผู้ป่วยอาจไม่ได้ยินเสียงลำไส้ดังครวญคราง
นอกจากอาการหลักทั้ง 5 ข้างต้นแล้ว อาการลำไส้อุดตันอาจทำให้เกิดอาการอื่นๆ ได้ เช่น มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด และความผิดปกติของอิเล็กโทรไลต์ …
4. กระบวนการวินิจฉัยลำไส้อุดตัน
โดยปกติเมื่อสงสัยว่าเป็นลำไส้อุดตัน แพทย์จะทำการตรวจทางคลินิกบริเวณหน้าท้องและตรวจอาการพื้นฐานอื่นๆ บางประการ อาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เช่น อาเจียน ปวดท้อง ประวัติการเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร ยาปฏิชีวนะที่ใช้เมื่อไม่นานมานี้ เป็นต้น
จากการสอบถามดังกล่าว แพทย์อาจสั่งให้ทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อให้การวินิจฉัยมีความแม่นยำมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีประวัติการเจ็บป่วยที่แตกต่างกันและอาการแปลกๆ แพทย์อาจขอให้ผู้ป่วยทำการตรวจเพื่อวินิจฉัยลำไส้อุดตัน เช่น
- ตรวจเลือด: การตรวจนี้จะช่วยตรวจหาสัญญาณของการติดเชื้อ ความไม่สมดุลของอิเล็กโทรไลต์ และความผิดปกติอื่นๆ
- เอกซเรย์ช่องท้อง: เป็นการตรวจภาพที่ใช้กันทั่วไปมากที่สุดเพื่อวินิจฉัยลำไส้อุดตัน เอกซเรย์สามารถช่วยให้แพทย์เห็นภาพของแก๊สและของเหลวในลำไส้ จากนั้นจึงระบุตำแหน่งที่เกิดการอุดตัน
- การสแกน CT ของช่องท้อง: การสแกน CT ช่วยให้ได้ภาพที่ละเอียดกว่าของลำไส้และอวัยวะที่อยู่โดยรอบ ซึ่งช่วยให้แพทย์ระบุสาเหตุของการอุดตันลำไส้ได้
- อัลตราซาวนด์ช่องท้อง: อาจใช้อัลตราซาวนด์เพื่อตรวจลำไส้และอวัยวะที่อยู่รอบข้างได้ โดยเฉพาะในผู้ที่ไม่สามารถทำการสแกน CT ได้
- การส่องกล้องในลำไส้: การส่องกล้องในลำไส้ช่วยให้แพทย์มองเห็นลำไส้โดยตรงและระบุตำแหน่งของการอุดตันได้
5. แผนการรักษาของกระทรวงสาธารณสุข
ผู้ป่วยที่ลำไส้อุดตันต้องได้รับการติดตามอาการผิดปกติอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้สามารถดำเนินการรักษาได้ทันท่วงทีและปลอดภัยที่สุด นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ยังต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อลดผลกระทบของโรคต่อร่างกายให้เหลือน้อยที่สุด
5.1 การรักษาภาวะผิดปกติของร่างกายทั่วไปที่เกิดจากลำไส้อุดตัน
เมื่อเข้ารับการรักษาอาการลำไส้อุดตันในโรงพยาบาล ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาด้วยวิธีการรักษาแบบภายในเพื่อช่วยเหลือร่างกายและเตรียมพร้อมสำหรับขั้นตอนต่อไป ขั้นตอนนี้มักจะรวม 3 ขั้นตอนดังนี้ โดยขั้นตอนแรกคือการชดเชยของเหลวและเกลือแร่เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำและเกลือแร่ที่จำเป็นเพียงพอ ชดเชยของเหลวและเกลือแร่ที่สูญเสียไปเนื่องจากอาการอาเจียน ท้องร่วง และลำไส้อุดตัน
ถัดมาคือการดูดของเหลวออกจากกระเพาะลำไส้เพื่อลดแรงดันในกระเพาะและลำไส้ ป้องกันภาวะท้องอืด ลำไส้ตาย และปรับปรุงภาวะลำไส้อุดตัน แพทย์อาจใส่สายยางให้อาหารลงไปในกระเพาะผ่านทางจมูกหรือปาก หรือใช้อุปกรณ์ดูดของเหลวในกระเพาะลำไส้ดูดของเหลวออก
ขั้นตอนสุดท้าย แพทย์จะสั่งให้ผู้ป่วยใช้ยาเพื่อช่วยอาการ โดยใช้ยาประเภทยาปฏิชีวนะ ยาบำรุงกำลัง (ให้วิตามิน แร่ธาตุ และสารอาหารที่จำเป็นสำหรับร่างกาย) ยาแก้ปวด คอร์ติโคสเตียรอยด์ …
5.2 การรักษาเพื่อขจัดสาเหตุของลำไส้อุดตันและฟื้นฟูลำไส้
ขึ้นอยู่กับแต่ละสาเหตุของลำไส้อุดตัน แพทย์มีแนวทางการผ่าตัดหรือการแทรกแซงเพื่อแก้ไขสาเหตุของการอุดตันและฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของลำไส้ ในแต่ละสาเหตุของลำไส้อุดตันจะมีแนวทางในการรักษาที่แตกต่างกันตามอาการ:
- ลำไส้อุดตันจากสิ่งแปลกปลอม แพทย์จะดันสิ่งแปลกปลอมออก หากสิ่งแปลกปลอมอยู่ใกล้บริเวณมุมลำไส้ใหญ่กับลำไส้เล็ก แพทย์จะดันให้ผ่านลิ้น Valvula ileocecalis หากสามารถดันสิ่งแปลกปลอมออกได้ จะมีการผ่าตัดเปิดลำไส้ส่วนที่อุดตัน นำสิ่งแปลกปลอมออกและเย็บปิดลำไส้
- ลำไส้อุดตันจากไส้เลื่อนบริเวณขาหนีบหรือโคนขา แพทย์จะผ่าเปิดถุงไส้เลื่อน ตัดคอถุงเพื่อนำอวัยวะที่ติดออก หากลำไส้เป็นสีม่วงดำ แพทย์จะทำการสร้างผนังหน้าท้องขึ้นมาใหม่ แต่หากลำไส้เน่าตาย จะต้องตัดลำไส้ส่วนนั้นออกและทำการเย็บต่อหรือเปิดทวารเทียม (ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี)
- อุดตันลำไส้: ในเด็ก: แพทย์จะถอดลำไส้อุดตันออกและซ่อมแซมลำไส้อุดตัน หากถอดลำไส้อุดตันออกไม่ได้หรือลำไส้เน่าตาย จำเป็นต้องตัดลำไส้ส่วนนั้นออก! ในผู้ใหญ่: แพทย์จะถอดลำไส้อุดตันออก ซ่อมแซมลำไส้ใหญ่กับลำไส้เล็ก มัดลำไส้เล็กเข้ากับผนังหน้าท้องและตัดไส้ติ่งออก ในกรณีที่มีเนื้องอก แพทย์จะตัดลำไส้ที่มีเนื้องอกออกหรือทำทางลัด (ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี)
- ลำไส้บิด: ลำไส้เล็กบิด: แพทย์จะคลายบิดลำไส้ก็ต่อเมื่อลำไส้ยังไม่เน่าตาย อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเน่าตาย แพทย์จะตัดลำไส้ส่วนที่บิดออกไปจนถึงส่วนที่ยังทำงานได้ดี ในกรณีที่ลำไส้ใหญ่ซิกมอยด์บิด: เช่นเดียวกับลำไส้เล็ก หากยังไม่เน่าตาย แพทย์จะคลายบิดและซ่อมแซมลำไส้ใหญ่เข้ากับผนังหน้าท้อง หากลำไส้ใหญ่เน่าตายแล้ว จะต้องตัดลำไส้ใหญ่และทำปากลำไส้ใหญ่ออกด้านหน้าท้อง
- มะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง: ในลำไส้ใหญ่ด้านขวา: หากตัดออกไม่ได้ แพทย์จะทำทางลัดหรือเปิดช่องระบายน้ำที่ลำไส้เล็ก หากตัดออกได้ แพทย์จะตัดลำไส้ใหญ่ด้านขวาออกครึ่งหนึ่ง ผ่าตัดแบบ Quenu หรือระบายลำไส้เล็ก ในทางกลับกันคือลำไส้ใหญ่ด้านซ้าย: ในกรณีส่วนใหญ่ ผู้ป่วยจะได้ทำลำไส้ใหญ่ขวางเปิดปากลำไส้ ส่วนลำไส้ตรง: ทำลำไส้ใหญ่เทียมที่ลำไส้ใหญ่ Sigma
6. วิธีป้องกันลำไส้อุดตันเกิดขึ้นซ้ำหลังการรักษา
6.1. การรับประทานอาหารอย่างถูกสุขลักษณะ
- ทานอาหารที่มีกากใยมาก: กากใยช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้ ป้องกันอาการท้องผูกและลดความเสี่ยงที่จะเกิดก้อนอุจจาระเเข็งซึ่งอาจก่อให้เกิดการอุดตันในลำไส้ได้ ควรเพิ่มอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี ฯลฯ เข้าไปในอาหารประจำวัน
- ดื่มน้ำมากๆ: น้ำช่วยทำให้ก้อนอุจจาระนิ่มและช่วยการเคลื่อนไหวของลำไส้ ลดอาการท้องผูก ควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อย 2 ลิตรต่อวัน
- ทานอาหารช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด: การเคี้ยวอาหารอย่างละเอียดช่วยให้ย่อยได้ดีกว่า ลดความเสี่ยงต่อการอุดตันในลำไส้
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ย่อยยาก: ควรจำกัดอาหารที่ย่อยยาก เช่น อาหารที่มีน้ำมันมาก ของทอด อาหารเผ็ด ฯลฯ เพราะอาจทำให้เกิดอาการอาหารไม่ย่อยและเพิ่มความเสี่ยงต่อการอุดตันในลำไส้
- ทานอาหารให้ตรงเวลา: การรับประทานอาหารตรงเวลาทุกวันช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างเป็นปกติ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร รวมถึงการอุดตันในลำไส้
6.2 ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายช่วยเพิ่มความแข็งแรงโดยรวมของร่างกาย กระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ และลดความเสี่ยงของโรคท้องผูก ควรออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาทีทุกวัน
- หลีกเลี่ยงอาการท้องผูก: โรคท้องผูกเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของโรคลำไส้อุดตัน หากมีอาการท้องผูก ควรรักษาด้วยยาหรือวิธีธรรมชาติ เช่น ดื่มน้ำมากๆ รับประทานอาหารที่มีกากใย ออกกำลังกาย ฯลฯ
- เลิกสูบบุหรี่: การสูบบุหรี่อาจทำลายระบบทางเดินอาหารและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินอาหาร รวมถึงโรคลำไส้อุดตัน
- ลดความเครียด: ความเครียดอาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางเดินอาหาร ควรหาวิธีคลายเครียด เช่น การเล่นโยคะ นั่งสมาธิ ฯลฯ
7. ทานโปรไบโอติก BIOPRO เพื่อเสริมสร้างสุขภาพลำไส้
โปรไบโอติก BIOPRO เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ ผลิตโดยเทคโนโลยี SMC สิทธิบัตรของสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการทดสอบและรับรองโดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) ในแต่ละซองไบโอโปรประกอบด้วยโพรไบโอติกส์ที่มีประโยชน์ถึง 5 พันล้านตัว เช่น Lactobacillus rhamnosus, Bifidobacterium longum, Bifidobacterium breve ซึ่งช่วยสร้างสมดุลให้กับระบบย่อยอาหาร ลดความเสี่ยงและผลกระทบของโรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารโดยทั่วไป และโดยเฉพาะภาวะลำไส้อุดตันในผู้ป่วย
นอกจากนี้ โปรไบโอติก BIOPRO ยังถือเป็นตัวช่วยที่ทรงประสิทธิภาพสำหรับระบบย่อยอาหาร โดยสามารถป้องกันอาการท้องผูก แก้อาการท้องอืด ช่วยลดอาการท้องร่วง และมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย การใช้ไบโอโปรไบโอติกส์ยังช่วยให้อาหารดีขึ้น ทำให้รับประทานอาหารได้อร่อยขึ้น ย่อยอาหารได้ดีขึ้น และช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ
กลุ่มผู้ที่ควรใช้โปรไบโอติก BIOPRO:
- เด็กและผู้ใหญ่ที่มีอาการผิดปกติของระบบย่อยอาหาร เช่น ท้องร่วง ท้องผูก ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
- ผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะเป็นเวลานาน
- ผู้ที่มีอาการลำไส้แปรปรวนและโรคลำไส้แปรปรวน (IBS)
- ผู้ที่มีอาการแพ้สารอาหาร ไม่สามารถย่อยแล็กโทส
- ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ
วิธีใช้และขนาดรับประทานโปรไบโอติก BIOPRO:
- ผู้ใหญ่: 2-3 ซอง/วัน
- เด็กอายุ 2-6 ปี: 1-2 ซอง/วัน
- เด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
คุณควรใช้ผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง 1-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ข้อควรระวังในการใช้โปรไบโอติก BIOPRO:
- โปรไบโอติก BIOPRO ไม่ใช่ยาและไม่สามารถใช้แทนยาในการรักษาโรค
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้โปรไบโอติก BIOPRO ในเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่มีโรคประจำตัว
- หากเด็กเกิดอาการผิดปกติหลังจากรับประทานโปรไบโอติก BIOPRO ควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์
8. ข้อสงสัยเกี่ยวกับการอุดตันลำไส้
8.1 ต้องผ่าตัดในกรณีลำไส้อุดตันหรือไม่
การผ่าตัดหรือไม่ขึ้นอยู่กับสาเหตุและระดับของการอุดตันของผู้ป่วย ในกรณีที่ลำไส้อุดตันเนื่องจากสาเหตุทางกล (ต้องผ่าตัดเพื่อแก้ไขสาเหตุที่ทำให้การอุดตัน) หากลำไส้เน่าตาย จำเป็นต้องตัดส่วนของลำไส้ที่เน่าตายออกไป
ในทางตรงกันข้าม กรณีลำไส้อุดตันเนื่องจากลำไส้หยุดทำงานหรือลำไส้อุดตันเนื่องจากสาเหตุหลอดเลือด อาจได้รับการรักษาแบบไม่ผ่าตัดได้ ลำไส้อุดตันเนื่องจากท้องผูกมักจะได้รับการรักษาด้วยวิธีการแบบไม่ผ่าตัด เช่น การล้วงลำไส้ การใช้ยาระบาย
8.2 ลำไส้อุดตันผายลมได้หรือไม่
คำถามนี้คงเป็นความสงสัยโดยทั่วไปของผู้ป่วยจำนวนมาก และคำตอบของ bioprothailand ก็คือ ผู้ป่วยลำไส้อุดตันมักจะไม่สามารถผายลมได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อยกเว้นบางประการสำหรับกรณีลำไส้อุดตันไม่สมบูรณ์หรือตำแหน่งของการอุดตัน หากคุณมีอาการลำไส้อุดตันและไม่สามารถผายลมได้ อาจเป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งชี้ว่าอาการลำไส้อุดตันของคุณกำลังแย่ลง คุณควรไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
8.3 ลำไส้อุดตันอันตรายหรือไม่
อาการลำไส้อุดตันไม่เพียงแต่เป็นอันตราย แต่ยังแฝงเอาความเสี่ยงต่างๆ มากมายไว้กับระบบทางเดินอาหาร เช่น ลำไส้ตาย ลำไส้ทะลุ ลำไส้ใหญ่ หรือลำไส้พันกัน หากไม่ได้รับการตรวจพบและการรักษาที่เหมาะสม
ดังนั้น เมื่อคุณมีอาการใดๆ ที่สงสัยว่าอาจเป็นอาการลำไส้อุดตัน ให้รีบไปยังศูนย์การแพทย์ที่ใกล้ที่สุดเพื่อตรวจและรับการรักษาในทันที เพื่อหลีกเลี่ยงผลที่น่าเสียใจที่อาจเกิดขึ้น
9. ลิงค์อ้างอิง
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/intestinal-obstruction/symptoms-causes/syc-20351460
https://www.hopkinsmedicine.org/health/conditions-and-diseases/understanding-an-intestinal-obstruction
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/bowel-obstruction