การติดเชื้อในลำไส้เป็นภาวะทั่วไปมากๆ ในเด็ก โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ โรคนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหลักคือแบคทีเรียและไวรัสที่มีการลุกล้ำเข้าไปในร่างกายทางอาหาร แล้วภาวะนี้ส่งผลกระทบต่อเด็อย่างไร มารู้ 5 สิ่งที่ผู้ปกครองควรรู้เกี่ยวกับการติดเชื้อในลำไส้ในเด็กกันเลยในบทความนี้!
1. ภาพรวมเกี่ยวกับการติดเชื้อในลำไส้ของเด็ก
การพัฒนาและความไม่สมดุลในลำไส้มากเกินไปถือเป็นปัจจัยหลักในการพิจารณาว่าเด็กติดเชื้อในลำไส้หรือไม่ เมื่อจำนวนแบคทีเรียในร่างกายมีมากเกินไป จะไม่เพียงแต่จำกัดความสามารถการดูดซึมสารอาหารของเด็กเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของโรคระบบทางเดินอาหารอื่นๆ อีกด้วย เช่น อหิวาตกโรค บิด ท้องผูก ท้องเสีย …
โรคนี้เกิดจากการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิตเหล่านี้ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรุนแรง:
- แบคทีเรีย: E. coli, Salmonella, Shigella, Campylobacter, Vibrio cholerae,…
- Virus: Rotavirus, Norwalk virus, Adenovirus,…
- ปรสิต: Giardia lamblia, Cryptosporidium parvum,…
โดยเฉพาะ หากเด็กมีอาการดังกล่าวเป็นเวลานาน อาจทำให้เด็กซูบผอมได้จากการที่ไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ และร้ายแรงกว่านั้น อาจทำให้เกิดอาการโคม่า ขาดน้ำ ขาดแร่ธาตุ และอันตรายถึงชีวิตหากไม่ได้รับการตรวจพบและรักษาโดยทันท่วงที
2. 4 สาเหตุของโรคระบบทางเดินอาหารติดเชื้อในเด็ก
โรคระบบทางเดินอาหารติดเชื้อในเด็กอาจเกิดจากสาเหตุมากมาย แต่สามารถแบ่งได้เป็น 4 สาเหตุหลักๆ ดังนี้
2.1. แบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต
สาเหตุที่เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส และปรสิต ถือว่าเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะลำไส้อักเสบในเด็ก เส้นทางการติดเชื้ออาจมาจากไข่ เนื้อสัตว์ปีก และเนื้อวัวที่ปนเปื้อนหรือปรุงไม่สุก นอกจากนี้ แบคทีเรียเชื้อ Shigella สามารถแพร่ผ่านทางอุจจาระของผู้ป่วยโดยตรงสู่ระบบทางเดินอาหารของเด็ก
นอกจากเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวแล้ว ไวรัส และพยาธิต่างๆก็มีการแพร่ติดต่อที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Norovirus และ Giardia lamblia ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่พบบ่อยในแหล่งน้ำหรืออาหารที่ปนเปื้อน เช่นนี้แล้วการเลือกบริโภคอาหารและน้ำที่สะอาดไม่ปนเปื้อนจึงเป็นสิ่งสำคัญมากในการดูแลเด็ก
2.2 ระบบย่อยอาหารที่ยังไม่สมบูรณ์
เด็กเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้ง่ายโดยเฉพาะเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปีเนื่องจากระบบย่อยอาหารยังไม่สมบูรณ์ ทำให้เชื้อโรคต่างๆสามารถเข้าสู่ร่างกายและก่อให้เกิดโรคได้ง่าย นั่นจึงเป็นสาเหตุที่เด็กๆ และทารกมักเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารได้บ่อยๆ
2.3 โภชนาการและสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม
เนื่องจากระบบย่อยอาหารยังไม่สมบูรณ์จึงจำเป็นอย่างมากที่เด็กและทารกจะต้องได้รับโภชนาการในปริมาณที่เพียงพอต่อการเจริญเติบโต หากได้รับโภชนาการไม่เพียงพอ ภูมิคุ้มกันของเด็กก็จะลดลงและยากที่จะต่อสู้กับการรุกรานของเชื้อโรคได้
นอกจากนี้ แหล่งที่อยู่แบคทีเรียและไวรัสอาจหลบซ่อนและสามารถติดต่อผ่านทางน้ำ แหล่งของใช้ใกล้ตัว ฯลฯ หรืออาจติดต่อจากแม่ไปยังลูกผ่านทางกระบวนการดูแลและการสัมผัสกับลูกได้ การที่แม่ไม่รักษาความสะอาดส่วนตัวให้ดีก็อาจเป็นแหล่งของการติดเชื้อแบคทีเรียไปยังลูกได้
2.4 จากการใช้ยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะในปริมาณสูงและเป็นเวลานานเพื่อรักษาโรค เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดบวม ฯลฯ อาจส่งผลกระทบมากมายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบทางเดินอาหาร ยาปฏิชีวนะมีผลในการกำจัดแบคทีเรียก่อโรค แต่ก็กำจัดแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้ด้วยเช่นกัน แบคทีเรียที่มีประโยชน์มีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพทางเดินอาหารให้แข็งแรง ช่วยย่อยอาหาร และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
เมื่อแบคทีเรียที่มีประโยชน์ถูกกำจัด ระบบทางเดินอาหารจะเสียสมดุล สร้างเงื่อนไขที่เอื้อให้แบคทีเรียที่มีโทษเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง แบคทีเรียที่มีโทษอาจก่อให้เกิดปัญหา เช่น ท้องเสีย ท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องผูก หรือแม้แต่การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
3. 6 สัญญาณเตือนการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารในเด็กเล็ก
ปัจจุบัน การติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร ถือว่าเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากในเด็ก โรคนี้สามรถทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอันตรายได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
3.1 ท้องเสีย
หากเด็กติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร พ่อแม่สามารถสังเกตอาการถ่ายของเด็กได้ในแต่ละวัน โดยเด็กอาจจะถ่ายเหลวเป็นน้ำ หรืออาจมีเลือด หรือมูกปนมากับอุจจาระ และยิ่งไปกว่านั้นหากเด็กถ่ายเหลวติดต่อกันเป็นเวลานานอาจจะทำให้เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง ส่งผลถึงสุขภาพและชีวิตของเด็ก
3.2 อาเจียน
เด็กอาจมีอาการอาเจียนร่วมกับอาการท้องร่วงได้ หรืออาจะเกิดอาการอาเจียนเพียงอย่างเดียว อาการอาเจียนมากอาจทำให้เด็กขาดน้ำได้อย่างรวดเร็ว ถ้าพบว่าเด็กรายงาน หรืออาเจียนต่อเนื่อง ไม่สามารถรับประทานอาหารหรือน้ำได้ ควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะเด็กจะขาดสารอาหารในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และระบบทางเดินอาหารอยู่ในระยะที่น่าเป็นห่วงอย่างมาก
3.3. ปวดท้อง
เด็กอาจมีอาการปวดท้องแบบจุกเสียดหรือปวดแบบรุนแรง ซึ่งทำให้เด็กร้องไห้กระวนกระวายใจ ปวดท้องอาจมาพร้อมกับอาการท้องอืดและท้องเฟ้อ ซึ่งส่งผลต่อกิจวัตรและสภาพจิตใจของเด็ก เด็กอาจกินอาหารไม่ได้ในช่วงนี้ นอกจากนี้ การที่เด็กร้องอยู่ตลอดเวลายังทำให้พ่อแม่รู้สึกเหนื่อยล้าอีกด้วย
3.4. ไข้
ไข้เป็นอาการบอกว่าร่างกายกำลังต่อสู้กับเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิตที่ทำให้เกิดโรค อาจมีไข้ต่ำหรือไข้สูง กระสับกระส่าย เหนื่อยล้า หรือเซื่องซึม ไข้สูงที่เป็นนานๆ อาจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก หากอาการไข้เกิดขึ้นหลังจากมีการถ่ายเหลวและอาเจียน ถือเป็นอันตรายอย่างมาก ควรนำเด็กไปที่ศูนย์การแพทย์ที่อยู่ใกล้ที่สุด
3.5. เบื่ออาหารหรือไม่อยากอาหาร
อาการคลื่นไส้ อาเจียน และปวดท้องทำให้เด็กเลิกกินนมหรือเลิกกินอาหาร ส่งผลให้ขาดสารอาหาร ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพและการเจริญเติบโตของเด็ก
3.6. เหนื่อยล้า
อาการอ่อนเพลียเกิดจากการที่เด็กสูญเสียน้ำและเกลือแร่ รวมถึงนอนไม่หลับจากภาวะท้องเสียและอาเจียน เด็กอาจมีอาการเฉื่อยชา ขาดพลังงาน ไม่ต้องการเล่น อาการอ่อนเพลียที่ยืดเยื้ออาจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็กได้
ถึงแม้ว่าการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารในเด็กหลายๆ ครั้งจะหายเองได้ภายใน 1-10 วัน แต่พ่อแม่ก็จำเป็นต้องสังเกตอาการและพาเด็กเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลให้ทันเวลาเมื่อมีอาการ เช่น มีไข้สูงเป็นเวลานาน ขาดน้ำ ขาดเกลือแร่ มีสัญญาณผิดปกติที่บริเวณอวัยวะเพศ …
นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ยังต้องสังเกตอาการดังต่อไปนี้ด้วย
- หากเด็กมีอาการ เช่น ท้องเสียเป็นเลือด อาเจียนมาก ปวดท้องอย่างรุนแรง ควรรีบพาเด็กมาพบแพทย์ทันที
- อย่าซื้อยามาให้เด็กใช้หากยังไม่ได้รับคำสั่งจากแพทย์
4. วิธ๊การรักษาและดูแลเด็กที่ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร
เด็กมีภูมิต้านทานต่ำมากและติดโรคระบบทางเดินอาหารได้ง่ายเนื่องจากระบบต่างๆ ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ฉะนั้น ต่อไปนี้คือวิธีการรักษาและดูแลเด็กที่ติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารที่พ่อแม่จำเป็นต้องทราบ
- การชดเชยสารน้ำและอิเล็กโทรไลต์: นี่เป็นมาตรการที่สำคัญที่สุดในการรักษาโรคติดเชื้อในลำใส้ของเด็ก ทารกที่ท้องเสียและอาเจียนจะสูญเสียน้ำและอิเล็กโทรไลต์ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายมากมาย คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องให้ลูกดื่มน้ำจำนวนมากเพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไป สามารถใช้สารละลายเกลือแร่หรือน้ำผลไม้เจือจางเพื่อชดเชยสารน้ำและอิเล็กโทรไลต์ได้ แต่ก็ควรงดให้นม น้ำอัดลม และน้ำหวาน ซึ่งอาจทำให้ท้องเสียหนักขึ้น
- การใช้ยา: คุณพ่อคุณแม่สามารถใช้ยาแก้ท้องร่วงและยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาอาการป่วยของลูกได้หากได้รับการอนุญาตจากแพทย์แล้ว ยาแก้ท้องร่วงชนิดไม่ต้องสั่งโดยแพทย์ซึ่งใช้ได้แก่โลเปอราไมด์ (Imodium) สำหรับเด็กอายุ 2 ปีขึ้นไป และใช้ยาปฏิชีวนะเมื่อลูกติดเชื้อในลำใส้ที่เกิดจากแบคทีเรียมตามคำสั่งของแพทย์ นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่ยังสามารถใช้โพรไบโอติกส์อย่าง BIOPRO ซึ่งสามารถช่วยในระบบย่อยอาหารและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของลูกรักได้
- โภชนาการ: ในช่วงนี้ คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกทานอาหารอ่อนๆ ที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ซุป ข้าวต้มอ่อนๆ และควรรับประทานอาหารมื้อเล็กๆ หลายมื้อในหนึ่งวัน หลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน อาหารรสจัด … และเสริมอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุ เช่น ผลไม้ ผักใบเขียว …
- ติดตามสุขภาพของเด็ก: จำเป็นต้องติดตามสุขภาพของเด็กอย่างใกล้ชิด รวมถึง: อุณหภูมิของร่างกาย จำนวนครั้งที่ถ่ายอุจจาระ ลักษณะของอุจจาระ อาการอาเจียน ฯลฯ หากเด็กมีอาการผิดปกติใดๆ จำเป็นต้องพาเด็กไปพบแพทย์ทันที
- สุขอนามัย: เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อจากแหล่งภายนอก ผู้ปกครองจำเป็นต้องล้างมือและเท้าให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำเปล่า โดยเฉพาะหลังจากเข้าห้องน้ำและก่อนรับประทานอาหาร ทำความสะอาดของใช้ของเด็ก เช่น เสื้อผ้า ผ้าห่ม ของเล่น ฯลฯ ให้สะอาด
5. เผยเคล็ดลับ 3 ข้อในการป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารในเด็ก
เพื่อป้องกันและป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินอาหาร
ในเด็ก หน้าที่ในการป้องกันมีความสำคัญอย่างมากและผู้ปกครองจำเป็นต้องใส่ใจ
ผู้ปกครองสามารถศึกษาจากวิธีการบางอย่างด้านล่างเพื่อป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารในเด็ก
- ฉีดวัคซีนป้องกัน: นอกจากการฉีดวัคซีนที่จำเป็นสำหรับเด็ก ผู้ปกครองสามารถให้เด็กฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรต้าไวรัส Hib และไวรัสตับอักเสบ A … ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เด็กป้องกันความเสี่ยงในการติดเชื้อในระบบทางเดินอาหารได้สูงสุด
- รักษาความสะอาด: วิธีนี้เป็นวิธีง่ายๆ แต่สำคัญอย่างมากสำหรับการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค พ่อแม่สามารถสอนให้เด็กรู้จักล้างมือให้สะอาดหลังจากเข้าห้องน้ำ ก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังจากเล่นข้างนอก
- สุขอนามัยของอาหาร: อาหารและน้ำเป็นปัจจัยสำคัญ 2 ประการในการป้องกันโรคติดเชื้อในลำไส้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ พ่อแม่ควรล้างอาหารก่อนปรุงอาหาร ปรุงอาหารให้สุกโดยเฉพาะเนื้อสัตว์ ปลา ไข่ และอาหารทะเล
- โภชนาการที่เหมาะสม: โภชนาการมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ของเด็กๆ การได้รับอาหารที่มีสารอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุที่หลากหลาย คือรากฐานที่ช่วยให้เด็กๆ มีภูมิคุ้มกันทั่วไปที่ดีขึ้น ต่อสู้กับโรคติดเชื้อและสนับสนุนการพัฒนาตามธรรมชาติ
- เพิ่มภูมิคุ้มกันให้กับเด็กๆ: ให้เด็กรับประทานแต่นมแม่ใน 6 เดือนแรกของชีวิตและให้นมต่อไปจนถึง 2 ขวบหรือมากกว่านั้น ให้สารอาหารที่ครบถ้วนแก่เด็กๆ โดยเน้นที่วิตามิน A, C, D และสังกะสี
6. ใช้โพรไบโอติก BIOPRO เพื่อป้องกันการติดเชื้อในเด็ก
โปรไบโอติก BIOPRO เสริมแบคทีเรียมีประโยชน์สำหรับลำไส้ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียตัวร้าย จึงช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ จุลินทรีย์ในลำไส้แข็งแรงจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและต่อต้านการบุกรุกของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรค
ด้วยเทคโนโลยี SMC เอกสิทธิ์เฉพาะจากสหรัฐอเมริกาและได้รับการรับรองจากสมาคมสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา โปรไบโอติก BIOPRO ไม่เพียงแต่ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ของเด็กเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของระบบย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูก อาเจียน และปวดท้อง
นอกจากนี้ โปรไบโอติก BIOPRO ยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมายสำหรับเด็ก เช่น: ลดความเสี่ยงของโรคภูมิแพ้ ช่วยให้เด็กรับประทานอาหารได้ดีขึ้น และลดอาการท้องผูก
หมายเหตุ:
- โปรไบโอติก BIOPRO ไม่ใช่ยาและไม่สามารถใช้แทนยาได้
- ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้โปรไบโอติก BIOPRO สำหรับเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่เป็นโรคประจำตัว
- หากเด็กมีอาการผิดปกติหลังจากใช้โปรไบโอติก BIOPRO ให้หยุดใช้และปรึกษาแพทย์
- ใช้โปรไบโอติก BIOPRO เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันลำไส้ติดเชื้อในเด็ก ผู้ปกครองควรให้เด็กใช้โปรไบโอติก BIOPRO ตามคำแนะนำเพื่อช่วยให้เด็กมีระบบย่อยอาหารแข็งแรงและเพิ่มภูมิคุ้มกัน
บทความข้างต้นได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการติดเชื้อในลำไส้ในเด็ก ซึ่งผู้ปกครองต้องมีวิธีป้องกันและรักษาให้เด็กทันที หลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย
7. ลิงค์อ้างอิง
https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/influenza-(seasonal)?gad_source
https://www.betterhealth.vic.gov.au/health/conditionsandtreatments/gastroenteritis-in-children
https://www.msdmanuals.com/home/children-s-health-issues/gastrointestinal-disorders-in-children/gastroenteritis-in-children