ปวดท้องใต้สะดือ เป็นโรคอะไร? วิธีการแก้ไข

ปวดท้องใต้สะดือ เป็นโรคอะไร? วิธีการแก้ไข

ตำแหน่งใต้สะดือส่วนใหญ่เป็นลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่ เมื่ออาการปวดท้องเกิดขึ้นที่นี่ มักเกี่ยวข้องกับโรคของระบบย่อยอาหาร ท่อไต รังไข่ และมดลูก แล้วอาการปวดท้องใต้สะดือเป็นสัญญาณของโรคอะไร? จะรักษาอย่างไร มาเรียนรู้กันเถอะ

1. ปวดท้องใต้สะดือเป็นสัญญาณของโรคอะไร?

ปวดท้องใต้สะดืออาจเป็นสัญญาณของโรคต่างๆ มากมาย ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง ขึ้นอยู่กับระดับความเจ็บปวด อาการนี้พบบ่อยในผู้หญิงและมักสับสนกับการมีประจำเดือน

ตำแหน่งความเจ็บปวด
ตำแหน่งความเจ็บปวด

1.1. ความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร

ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเป็นปัญหาสุขภาพพบบ่อย ส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่สบายอย่างมาก อาการทั่วไปคือ ปวดท้องน้อยตื้อๆ เป็นระยะๆ ร่วมกับมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย อุจจาระเหลว หรือท้องผูก โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ท้องผูก อุจจาระจะสะสมในไส้ตรง ทำให้เกิดอาการปวดและแน่นท้องส่วนล่าง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก

1.2. โรคลำไส้แปรปรวน

โรคลำไส้แปรปรวน (IBS) เป็นโรคทางเดินอาหารเรื้อรังที่ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์หลายอย่าง ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

อาการทั่วไปของ IBS คือปวดท้องอย่างต่อเนื่อง มักมีอาการท้องอืด ท้องเสีย หรือท้องผูกร่วมด้วย นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นๆ เช่น ท้องอืด แสบร้อนกลางอก ปวดเกร็งท้อง และการเคลื่อนไหวของลำไส้เป็นระยะ

อาการของ IBS มักเกิดขึ้นหลังรับประทานอาหารคาว อาหารมีไขมันเยอะ หรือเมื่อผู้ป่วยเครียดหรือวิตกกังวล แม้ว่าจะไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ IBS อาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายอย่างมากและส่งผลต่อกิจกรรมประจำวันของผู้ป่วย

1.3. ไส้ติ่งอักเสบ

ไส้ติ่งอักเสบเป็นภาวะการอักเสบที่เป็นอันตรายซึ่งจำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยและรักษาทันทีเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย

อาการทั่วไปของไส้ติ่งอักเสบคือปวดตื้อๆ รอบสะดือ แล้วเคลื่อนไปทางช่องท้องส่วนล่างขวา อาการปวดนี้สับสนได้ง่ายกับอาการปวดกระเพาะอาหารเนื่องจากมีตำแหน่งและลักษณะคล้ายคลึงกัน

นอกจากนี้ผู้ที่เป็นโรคไส้ติ่งอักเสบอาจมีอาการอื่นๆ เช่น มีไข้ อาเจียน ระบบย่อยอาหารผิดปกติ เหนื่อยล้า เบื่ออาหาร และท้องบวม

ด้วยลักษณะที่เป็นอันตรายของโรค เมื่อมีอาการข้างต้น ผู้ป่วยต้องไปสถานพยาบาลเพื่อตรวจสอบและรักษาทันที หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไส้ติ่งอักเสบอาจนำไปสู่โรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย เช่น ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดและเยื่อบุช่องท้องอักเสบโดยทั่วไป ซึ่งคุกคามชีวิตของผู้ป่วย

อาการปวดใต้สะดืออาจเป็นไส้ติ่งอักเสบได้เช่นกัน
อาการปวดใต้สะดืออาจเป็นไส้ติ่งอักเสบได้เช่นกัน

1.4. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (UTI) พบบ่อย ซึ่งมักเกิดจากแบคทีเรีย Escherichia coli (E. coli) โรคนี้ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์มากมายส่งผลต่อชีวิตประจำวันของผู้ป่วย

สัญญาณทั่วไปของโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ:

  • ปวดท้องส่วนล่าง: มักปวดบริเวณช่องท้องส่วนล่าง ใกล้กระดูกหัวหน่าว และสามารถลามไปทั้งสองด้านของขาหนีบได้ อาการปวดอาจไม่ชัดเจนหรือรุนแรง เพิ่มขึ้นเมื่อปัสสาวะ
  • ปวดแสบเมื่อปัสสาวะ: ผู้ป่วยรู้สึกแสบร้อนและปวดเมื่อปัสสาวะ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มหรือสิ้นสุดการปัสสาวะ
  • ปัสสาวะบ่อย: ผู้ป่วยรู้สึกว่าต้องปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะหลายครั้งต่อวัน แต่แต่ละครั้งจะปัสสาวะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
  • ปัสสาวะขุ่น บางครั้งอาจมีเลือดออก: ปัสสาวะอาจสีขุ่น มีกลิ่นเหม็น หรือมีเลือด

นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบอาจมีอาการอื่นๆ เช่น มีไข้เล็กน้อย คลื่นไส้ อาเจียน เหนื่อยล้า และเบื่ออาหาร

1.5. การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะภายนอก (UTIs) เป็นการติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรียเข้าสู่ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์หลายอย่างที่ส่งผลต่อชีวิตประจำวัน

  • ปวดท้องส่วนล่าง: มักปวดบริเวณช่องท้องส่วนล่าง ใกล้กระดูกหัวหน่าว และสามารถลามไปทั้งสองด้านของขาหนีบได้ อาการปวดอาจไม่ชัดเจนหรือรุนแรง เพิ่มขึ้นเมื่อปัสสาวะ
  • ปัสสาวะขุ่นหรือสีเข้ม: ปัสสาวะอาจสีขุ่น มีกลิ่นเหม็น หรือมีเลือด
  • ปวดแสบเมื่อปัสสาวะ: ผู้ป่วยรู้สึกแสบร้อนและปวดเมื่อปัสสาวะ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มหรือสิ้นสุดการปัสสาวะ
  • ปัสสาวะบ่อย: ผู้ป่วยจะรู้สึกปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะหลายครั้งต่อวัน แต่ปัสสาวะเพียงเล็กน้อยในแต่ละครั้ง
  • ปวดท้อง: อาการปวดอาจลามไปที่หลังส่วนล่างหรือด้านข้าง

1.6. นิ่วในทางเดินปัสสาวะ

นิ่วในไตเป็นนิ่วแข็งที่ก่อตัวในไตเนื่องจากการสะสมของแร่ธาตุในปัสสาวะ นิ่วในไตมักไม่ก่อให้เกิดอาการใดๆ จนกว่าจะเคลื่อนตัวเข้าไปในท่อไต ทำให้เกิดอาการจุกเสียดในไต

อาการจุกเสียดไตเป็นอาการปวดเฉียบพลันและรุนแรงในบริเวณเอว มักลามไปช่องท้องส่วนล่าง ขาหนีบ และอวัยวะเพศ อาการปวดอาจเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อปัสสาวะ และมีเลือดในปัสสาวะ

อาการปวดอาจเกิดจากนิ่วในไต
อาการปวดอาจเกิดจากนิ่วในไต

1.7. นิ่วในไต

นิ่วในไตเป็นภาวะที่แร่ธาตุในปัสสาวะสะสมอยู่ในไตและก่อตัวเป็นนิ่วเมื่อเวลาผ่านไป ขนาดของกรวดมีตั้งแต่เล็กเท่าเม็ดทรายไปจนถึงใหญ่เท่ากำปั้น โรคนี้ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์มากมายซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย

คุณสามารถรับรู้นิ่วในไตได้จากอาการต่อไปนี้:

  • ปวดตะคริวอย่างรุนแรง: นี่เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดของนิ่วในไต อาการปวดมักเกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรงบริเวณเอว แล้วลามไปยังช่องท้องส่วนล่าง ขาหนีบ และอวัยวะเพศ อาการปวดอาจเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อปัสสาวะ และมีเลือดในปัสสาวะ
  • ปวดเมื่อเคลื่อนไหว : เมื่อเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนตำแหน่งผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดบริเวณเอวอย่างรุนแรง
  • ความผิดปกติของระบบปัสสาวะ: ผู้ป่วยอาจปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่บ่อย เจ็บปวดเมื่อปัสสาวะ และถึงขั้นปัสสาวะไม่ออก
  • อาการทั่วร่างกาย: นิ่วในไตอาจทำให้เกิดอาการทั้งร่างกาย เช่น มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก และท้องอืด

2. สาเหตุของอาการปวดท้องใต้สะดือในสตรี

นอกจากปัญหาระบบย่อยอาหารแล้ว อาการปวดท้องในผู้หญิงยังเป็นสัญญาณของโรคอื่นๆ ของอวัยวะสืบพันธุ์อีกด้วย

2.1. เนื่องจากรอบประจำเดือน

ประจำเดือนเป็นอาการปวดท้องที่พบบ่อยใต้สะดือในสตรีวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงตกไข่ เมื่อการตกไข่เกิดขึ้น รังไข่จะปล่อยไข่ออกมาพร้อมกับของเหลวและเลือดบางส่วน ของเหลวและเลือดนี้อาจทำให้เยื่อบุช่องท้องระคายเคือง ทำให้เกิดอาการปวดเฉียบพลัน ตื้อๆ หรือรุนแรง ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละคน อาการปวดอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงสองสามวัน โดยส่งผลต่อชีวิตประจำวันและการทำงานของผู้หญิง

ระดับอาการปวดประจำเดือนจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน อาจมีตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง บางคนรู้สึกเจ็บท้องเล็กน้อย ในขณะที่บางคนอาจมีอาการปวดรุนแรงมากจนเดินไม่ได้ อาการปวดมักมาพร้อมกับอาการอื่นๆ เช่น ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย เหนื่อยล้า และหงุดหงิด

รอบประจำเดือนเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องใต้สะดือ
รอบประจำเดือนเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องใต้สะดือ

2.2. เนื้องอกถุงน้ำรังไข่

ปวดท้องใต้สะดือเป็นอาการที่พบบ่อยในผู้หญิง ซึ่งอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ อย่างไรก็ตาม หากอาการปวดท้องเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ต่อเนื่อง และมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ประจำเดือนมาไม่ปกติ น้ำหนักขึ้น และปัสสาวะบ่อย นี่อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคเนื้องอกถุงน้ำรังไข่

เนื้องอกถุงน้ำรังไข่เป็นถุงที่เต็มไปด้วยของเหลวซึ่งก่อตัวภายในรังไข่ของผู้หญิง เนื้องอกถุงน้ำรังไข่ส่วนใหญ่ไม่เป็นพิษเป็นภัยและไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ

2.3. ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ

ภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ (PID) เป็นการติดเชื้อของอวัยวะสืบพันธุ์สตรี รวมถึงมดลูก ท่อนำไข่ และรังไข่ โรคนี้เป็นโรคที่พบบ่อยในปัจจุบัน โดยเฉพาะในสตรีวัยเจริญพันธุ์

อาการของภาวะอุ้งเชิงกรานอักเสบ

  • ปวดท้องส่วนล่าง: อาการปวดมักปรากฏบริเวณช่องท้องใต้สะดือ และอาจลามไปด้านข้างหรือหลังส่วนล่างได้ ความเจ็บปวดอาจจางลงหรือรุนแรงขึ้น โดยเพิ่มขึ้นตามการเคลื่อนไหว การมีเพศสัมพันธ์ หรือการเข้าห้องน้ำ
  • ไข้: ผู้ป่วยอาจมีไข้สูงหรือมีไข้เล็กน้อย
  • ตกขาวผิดปกติ: ตกขาวอาจเป็นสีเหลือง สีเขียว หรือมีกลิ่นเหม็น
  • เจ็บปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์: มีเพศสัมพันธ์อาจทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือไม่สบายตัวได้
  • ต้องการปัสสาวะอย่างต่อเนื่อง: ผู้ป่วยอาจรู้สึกอยากปัสสาวะบ่อยแต่ปัสสาวะน้อยลงในแต่ละครั้ง

2.4. การติดเชื้อในอวัยวะสืบพันธุ์สตรี

อาการปวดท้องส่วนล่างเป็นเวลานาน โดยเฉพาะในช่วงมีประจำเดือน เป็นอาการที่พบบ่อยของการติดเชื้อในอวัยวะสืบพันธุ์สตรี

โรคนี้มักเกิดในสตรีวัยเจริญพันธุ์ และอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้มากมายหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

การตั้งครรภ์นอกมดลูกอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องบริเวณใต้สะดือได้
การตั้งครรภ์นอกมดลูกอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องบริเวณใต้สะดือได้

2.5. มีครรภ์นอกมดลูก

การตั้งครรภ์นอกมดลูกเป็นภาวะอันตรายที่อาจคุกคามชีวิตของผู้หญิงได้หากตรวจไม่พบและรักษาอย่างทันท่วงที สัญญาณเตือนแรกสุดประการหนึ่งของการตั้งครรภ์นอกมดลูกคืออาการปวดท้องส่วนล่าง โดยเฉพาะในช่วงเดือนแรกของการตั้งครรภ์

อาการของการตั้งครรภ์นอกมดลูก:

  • ปวดกระดูกเชิงกราน: อาการปวดมักปรากฏที่ช่องท้องส่วนล่างด้านใดด้านหนึ่ง และอาจลามไปที่ไหล่ สะโพก หรือหลังส่วนล่าง อาการปวดอาจตื้อๆ หรือรุนแรง โดยเพิ่มขึ้นเมื่อเคลื่อนไหวหรือเข้าห้องน้ำ
  • เลือดออกทางช่องคลอด: เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติอาจเป็นสีน้ำตาล แดง หรือชมพู ปริมาณเลือดออกอาจเบาหรือหนักก็ได้
  • ปวดท้องใต้สะดือ: อาการปวดมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลันและรุนแรง ซึ่งเป็นสัญญาณของท่อนำไข่แตก

2.6.ปีกมดลูกอักเสบ

ปีกมดลูกอักเสบเป็นโรคทางนรีเวชที่พบบ่อยในสตรี เกิดจากการอักเสบในท่อนำไข่ข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง โรคนี้สามารถนำไปสู่โรคแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่งผลต่อภาวะเจริญพันธุ์ของสตรี

อาการปวดจากปีกมดลูกอักเสบอาจเกิดขึ้นก่อนหรือหลังรอบประจำเดือน หรืออาจปรากฏไม่สม่ำเสมอก็ได้ ขึ้นอยู่กับสภาพของท่อนำไข่อักเสบ อาการปวดมักไม่ชัดเจน ต่อเนื่อง และอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น เหนื่อยล้า มีไข้เล็กน้อย เลือดออกทางช่องคลอดผิดปกติ ตกขาว ปวดระหว่างมีเพศสัมพันธ์ และปัสสาวะฉุกเฉิน

2.7. เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่คือภาวะที่เนื้อเยื่อเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตและแพร่กระจายออกไปนอกมดลูก มักพบในรังไข่ ท่อนำไข่ กระเพาะปัสสาวะ ปากมดลูก ฯลฯ โรคนี้ส่งผลเสียต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการปวดเรื้อรังในช่วงรอบประจำเดือนและภาวะเจริญพันธุ์

หากคุณสงสัยว่าคุณมีภาวะเเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ให้ไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงที แพทย์จะทำการตรวจต่างๆ เช่น การตรวจทางนรีเวช อัลตราซาวนด์ และการตรวจเลือด เพื่อให้การวินิจฉัยแม่นยำ การรักษาภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค อายุของผู้ป่วย และความปรารถนาในการเจริญพันธุ์

เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่เป็นโรคเรื้อรัง แต่ด้วยการรักษาและการเฝ้าระวังอย่างทันท่วงที คุณสามารถควบคุมโรคได้ดีและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคุณ

เนื้องอก
เนื้องอก

2.8. เนื้องอกมดลูก

เนื้องอกในมดลูกเป็นเนื้องอกที่ไม่ร้ายแรงซึ่งเติบโตในผนังมดลูกของผู้หญิง ถึงแม้จะไม่เป็นมะเร็งแต่เนื้องอกในมดลูกก็อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้หลายอย่าง โดยเฉพาะในสตรีวัยเจริญพันธุ์ (อายุ 30-40 ปี)

ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เป็นเนื้องอกในมดลูกจะไม่มีอาการ ในบางกรณีอาจมีอาการเช่น:

  • ปวดท้องใต้สะดือ ปวดหลัง
  • ความผิดปกติของประจำเดือน: ประจำเดือนมามากเกินไป ประจำเดือนมาเป็นเวลานาน ปวดประจำเดือน หรือมีเลือดออกผิดปกติระหว่างรอบประจำเดือน
  • ท้องผูก ปัสสาวะไม่ออก
  • ปวดขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ยากลำบากในการตั้งครรภ์ ส่งผลต่อกระบวนการตั้งครรภ์

เนื้องอกในมดลูกเป็นโรคที่พบบ่อยในสตรี แม้ว่าจะไม่เป็นมะเร็งแต่เนื้องอกในมดลูกอาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้หลายอย่าง ดังนั้นหากสงสัยว่ามีเนื้องอกในมดลูก ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาอย่างทันท่วงที

2.9. กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือน

อาการก่อนมีประจำเดือน (PMS) ถือเป็น “ฝันร้าย” ที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องเผชิญอย่างน้อยหนึ่งครั้งในชีวิต นี่เป็นภาวะของการเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยาอันเนื่องมาจากความผันผวนของฮอร์โมนในระหว่างรอบประจำเดือน โดยปกติจะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือนและสิ้นสุดเมื่อเริ่มมีประจำเดือน

PMS ไม่ใช่โรคที่เป็นอันตราย แต่อาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้หญิงได้ หากคุณมีอาการ PMS รุนแรง ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำและการรักษา

กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างต่อเนื่อง
กลุ่มอาการก่อนมีประจำเดือนอาจทำให้เกิดอาการปวดท้องอย่างต่อเนื่อง

2.10. การแท้งบุตร

การแท้งบุตรเป็นภาวะที่ทารกในครรภ์เสียชีวิตในมดลูกก่อนอายุครรภ์ 20 สัปดาห์ นี่เป็นประสบการณ์ที่เจ็บปวดและยากลำบากสำหรับผู้หญิงทั้งทางร่างกายและจิตใจ

  • ปวดท้องส่วนล่าง: อาการปวดอาจดูทึบหรือรุนแรง โดยมักปรากฏบริเวณช่องท้องใต้สะดือ
  • ปวดหลัง: อาการปวดสามารถลามไปถึงหลังส่วนล่างได้
  • เลือดออกทางช่องคลอด: อาจมีเลือดสด เลือดสีน้ำตาล หรือเมือกปนเลือด
  • ตกขาวผิดปกติ: อาจมีน้ำมูกสีชมพู สีน้ำตาล หรือสีเทา ซึ่งอาจผสมกับเนื้อเยื่อการตั้งครรภ์
  • การขับเนื้อเยื่อผิดปกติออกจากช่องคลอด: เนื้อเยื่อการตั้งครรภ์ ถุงตั้งครรภ์ หรือลิ่มเลือดอาจปรากฏขึ้นจากช่องคลอด

3. อาการปวดท้องใต้สะดือในผู้ชายเกิดจากอะไร?

อาการปวดท้องใต้สะดือในผู้ชายเป็นอาการที่พบบ่อย ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุหลายประการ สาเหตุทั่วไปบางประการ ได้แก่:

ความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร

  • การติดเชื้อ: การติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือปรสิตอาจทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้และอาเจียน
  • อาหารเป็นพิษ: อาหารเป็นพิษเกิดขึ้นเมื่อคุณรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนแบคทีเรีย ไวรัส หรือสารพิษ อาการของโรคอาหารเป็นพิษมักมีอาการปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้และอาเจียน
  • กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ: กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบคือการอักเสบของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ โรคกระเพาะและลำไส้อักเสบมักเกิดจากไวรัส แต่ก็อาจเกิดจากแบคทีเรียหรือปรสิตได้เช่นกัน อาการของโรคกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ ได้แก่ ปวดท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้และอาเจียน
  • โรคลำไส้แปรปรวน (IBS): IBS เป็นความผิดปกติในการทำงานของลำไส้ที่ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ปวดท้อง ท้องอืด มีแก๊ส ท้องเสีย หรือท้องผูก IBS เป็นโรคเรื้อรังและไม่มีวิธีรักษา
ความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร
ความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร

ความผิดปกติของอวัยวะสืบพันธุ์

  • ท่อปัสสาวะอักเสบ: ท่อปัสสาวะอักเสบคือการอักเสบของท่อปัสสาวะซึ่งเป็นท่อนำปัสสาวะออกจากร่างกาย ท่อปัสสาวะอักเสบมักเกิดจากแบคทีเรียที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อาการของโรคท่อปัสสาวะอักเสบ ได้แก่ ปวดเมื่อปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย เจ็บปวดเมื่อปัสสาวะ และมีสารคัดหลั่งผิดปกติจากอวัยวะเพศชาย
  • อัณฑะอักเสบ: อัณฑะอักเสบคือการอักเสบของลูกอัณฑะข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง อัณฑะอักเสบมักเกิดจากไวรัสหรือแบคทีเรีย อาการของโรคอัณฑะอักเสบ ได้แก่ อาการปวด บวม และแดงในอัณฑะ
  • ต่อมลูกหมากอักเสบ: ต่อมลูกหมากอักเสบคืออาการอักเสบของต่อมลูกหมาก ซึ่งเป็นต่อมเล็กๆ ใต้กระเพาะปัสสาวะ ต่อมลูกหมากอักเสบอาจเกิดจากแบคทีเรียหรือปัจจัยอื่นๆ อาการของโรคต่อมลูกหมากอักเสบ ได้แก่ ปวดท้องส่วนล่าง ปวดเมื่อปัสสาวะ ปัสสาวะบ่อย และแสบเมื่อปัสสาวะ

4. ระวังอันตรายจากการปวดท้อง?

อาการปวดท้องเป็นอาการที่พบบ่อยซึ่งส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตราย แต่ในบางกรณีอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคร้ายแรงได้ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับรู้สัญญาณเตือนและไปพบแพทย์ทันที

หากคุณมีอาการดังต่อไปนี้ ควรไปศูนย์การแพทย์โดยเร็วที่สุด:

  • ปวดท้องตื้อๆ และต่อเนื่อง: อาการปวดตื้อๆ เป็นเวลานานเป็นอาการที่พบบ่อยของปัญหาทางเดินอาหาร เช่น แผลในกระเพาะอาหาร ลำไส้กระตุก… อย่างไรก็ตาม ยังสามารถเกิดขึ้นได้เป็นสัญญาณของมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน.. .
  • ปวดท้องรุนแรง ซ้ำๆ หรือยาวนาน: ปวดท้องรุนแรง ซ้ำๆ หรือต่อเนื่อง อาจเกิดจากนิ่วในถุงน้ำดี ตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน ลำไส้อุดตัน…
  • ปวดท้องแย่ลง: อาการปวดตื้อๆ ในตอนแรกแต่จะค่อยๆ รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เป็นอาการที่พบบ่อยของไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน หากตรวจไม่พบและรักษาอย่างทันท่วงทีภายใน 24 ชั่วโมง มีความเสี่ยงต่อโรคแทรกซ้อนสูง
  • ปวดเฉียบพลันบริเวณช่องท้องส่วนล่างขวา: นี่เป็นสัญญาณทั่วไปของไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน และควรนำส่งโรงพยาบาลทันที
  • ปวดท้องร่วมด้วยอาการอื่นๆ: หากปวดท้องร่วมด้วยอาการต่างๆ เช่น หายใจลำบาก เวียนศีรษะ เลือดออก อาเจียน หรือมีไข้สูง อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง เช่น ท้องผูก เลือดออกในกระเพาะอาหาร ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด…

สำหรับเด็กเล็ก: เนื่องจากยังพูดไม่ได้ การตรวจหาและวินิจฉัยเด็กที่มีอาการปวดท้องจึงเป็นเรื่องยาก พ่อแม่ต้องสังเกตลูกอย่างใกล้ชิด หากเห็นลูกร้องไห้อย่างต่อเนื่อง ควรพาไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

อาการจุกเสียดในเด็กเล็กต้องได้รับการดูแลและรักษาอย่างทันท่วงที
อาการจุกเสียดในเด็กเล็กต้องได้รับการดูแลและรักษาอย่างทันท่วงที

5. คำแนะนำสำหรับคุณ

อาการปวดท้องใต้สะดือเกิดได้จากหลายสาเหตุ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยต้องมีนิสัยการใช้ชีวิตและการรับประทานอาหารที่แตกต่างกัน:

เกี่ยวกับการใช้ชีวิตประจำวัน

  • พักผ่อน: สิ่งแรกเมื่อคุณมีอาการปวดท้องใต้สะดือคือต้องใช้เวลาพักผ่อนเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัว หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักหรือออกแรงมาก
  • ดื่มน้ำปริมาณมาก: น้ำช่วยให้ร่างกายชดเชยปริมาณน้ำที่สูญเสียไปเนื่องจากอาการท้องเสียหรืออาเจียน ในขณะเดียวกันก็ช่วยสนับสนุนกระบวนการย่อยอาหารด้วย ดื่มน้ำเปล่า น้ำออเรซอล หรือน้ำผลไม้
  • ทานอาหารที่ย่อยง่าย: เลือกอาหารที่อ่อนนุ่มและย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม ซุป ขนมปัง และผลไม้สุกเนื้อนิ่ม หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ด อาหารมีไขมันเยอะ อาหารจานด่วน เครื่องดื่มอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์: สูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์อาจทำให้อาการปวดท้องแย่ลงได้

เกี่ยวกับการทานอาหาร

  • อาหารที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์: ไฟเบอร์มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเคลื่อนไหวของลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร และป้องกันอาการท้องผูก ควรเพิ่มผักใบเขียว ผลไม้ และธัญพืชเต็มเมล็ดลงในอาหารประจำวันของคุณ
  • อาหารที่อุดมไปด้วยโปรไบโอติก: โปรไบโอติกเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ เพิ่มภูมิคุ้มกัน และสนับสนุนการย่อยอาหาร ควรเพิ่มโยเกิร์ต ผักดอง และอาหารหมักดองในอาหารของคุณ
  • วิตามินและแร่ธาตุ: วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็น เช่น วิตามิน A, C, E สังกะสี แมกนีเซียม… ยังมีบทบาทสำคัญในการรักษาสุขภาพของระบบย่อยอาหารอีกด้วย
  • จำกัดอาหารที่เป็นอันตราย เช่น อาหารเผ็ดร้อน แอลกอฮอล์ เบียร์ กาแฟ บุหรี่ ฯลฯ
กลุ่มโภชนาการ
กลุ่มโภชนาการ

เกี่ยวกับการใช้ยา

  • ใช้ยาแก้ปวดที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์: สามารถใช้ยาแก้ปวดที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์ เช่น พาราเซตามอล หรือ ไอบูโพรเฟน เพื่อบรรเทาอาการปวดได้
  • ใช้ยาแก้ท้องเสีย: หากคุณมีอาการท้องเสีย ให้ใช้ยาแก้ท้องเสียตามที่แพทย์หรือเภสัชกรกำหนด
  • ใช้ยาแก้อาเจียน: หากคุณมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ให้ใช้ยาแก้อาเจียนตามที่แพทย์หรือเภสัชกรกำหนด

เมื่อไรจะต้องไปพบแพทย์?

  • ปวดท้องรุนแรง: หากคุณมีอาการปวดท้องรุนแรงจนทนไม่ไหว ให้ไปพบแพทย์ทันที
  • ปวดท้องร่วมด้วยอาการอื่นๆ : หากปวดท้องร่วมด้วย เช่น มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน ถ่ายเป็นเลือด เลือดออกทางช่องคลอด ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะอย่างเจ็บปวด…ต้องไปพบแพทย์ทันที
  • อาการปวดท้องที่ไม่ดีขึ้นหลังจากผ่านไป 2-3 วัน: หากคุณลองใช้มาตรการดูแลตัวเองที่บ้านแล้ว แต่อาการปวดท้องไม่ดีขึ้นหลังจากผ่านไป 2-3 วัน ให้ไปพบแพทย์
 
0948358177