คุณกำลังประสบกับอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ปวดท้องอย่างรุนแรง ไข้สูง ท้องอืด หรือแม้กระทั่งถ่ายเป็นเลือด ใช่หรือไม่? อาจเป็นสัญญาณของโรคท้องร่วงเฉียบพลัน ซึ่งเป็นปัญหาทางเดินอาหารที่พบบ่อย แต่อย่ามองข้าม บทความนี้นำเสนอวิธีการรักษาโรคท้องร่วงเฉียบพลันที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยสำหรับผู้ใหญ่ เพื่อช่วยให้คุณฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและป้องกันตัวเองจากภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย
1. สาเหตุและอาการที่พบบ่อยของโรคท้องร่วงเฉียบพลันในผู้ใหญ่
1.1. สาเหตุ
ท้องเสียเฉียบพลันคือภาวะที่มีอาการถ่ายเหลวหรือถ่ายบ่อยกว่าปกติ มักมีอาการนานไม่เกิน 2 สัปดาห์ ซึ่งเกิดได้จากหลายสาเหตุ ได้แก่:
1.1.1. การติดเชื้อไวรัส
ไวรัสเป็นสาเหตุสำคัญของลำไส้อักเสบในผู้ใหญ่ โดยคิดเป็นประมาณ 80% ในประเทศที่พัฒนาแล้ว ไวรัสที่พบได้บ่อยที่ก่อให้เกิดลำไส้อักเสบในผู้ใหญ่ ได้แก่:
- Rotavirus: ไวรัสชนิดนี้มักแพร่กระจายผ่านทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการท้องร่วง อาเจียน มีไข้ และปวดท้อง โรต้าไวรัสเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อเด็กเล็ก แต่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใหญ่ได้เช่นกัน
- Adenovirus:ไวรัสนี้สามารถทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้มากมาย ได้แก่ การติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ เยื่อบุตาอักเสบ (ตาแดง) และลำไส้อักเสบ อะดีโนไวรัสมักแพร่กระจายผ่านการสัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วยหรือผ่านทางสิ่งของที่ปนเปื้อน
- Norwalk virus: เชื้อไวรัสชนิดนี้เป็นสาเหตุทั่วไปของโรคอาหารเป็นพิษ ซึ่งนำไปสู่อาการต่างๆ เช่น ท้องร่วง อาเจียน คลื่นไส้ และปวดท้อง ไวรัสโนวอล์กมักแพร่กระจายผ่านอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อน
1.1.2 การติดเชื้อแบคทีเรีย
E. coli, Shigella, Salmonella และ Campylobacter เป็นแบคทีเรียที่พบได้บ่อยที่ทำให้เกิดโรคท้องร่วงเฉียบพลัน โดยทั่วไปแบคทีเรียมักแพร่กระจายผ่านทางอาหารที่ปนเปื้อน
1.1.3 การติดเชื้อปรสิต
Giardia lamblia, Cryptosporidium และ Entamoeba histolytica เป็นปรสิตที่อาจทำให้เกิดอาการท้องร่วงเฉียบพลัน ปริสิตเหล่านี้มักแพร่กระจายผ่านทางอุจจาระ-ปาก อันเนื่องมาจากการสัมผัสกับน้ำหรือดินที่ปนเปื้อน หรือจากการรับประทานอาหารที่ปรุงไม่สุก
1.1.4. ผลข้างเคียงของยา
ยาบางประเภท โดยเฉพาะยาถ่าย มีส่วนผสมกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้มีการหลั่งของเหลวเพิ่มขึ้นและถ่ายอุจจาระเหลวได้ เช่น ยาที่มีส่วนผสมของเซนนา กลีเซอรีน หรือแมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ นอกจากนี้ ยาในกลุ่มยาปฏิชีวนะก็สามารถก่อให้เกิดอาการท้องเสียเป็นผลข้างเคียงได้เช่นกัน เนื่องจากยาปฏิชีวนะฆ่าไม่เพียงเชื้อก่อโรค แต่ยังฆ่าเชื้อแบคทีเรียชนิดดีในลำไส้ด้วย ทำให้เกิดความไม่สมดุลของระบบจุลินทรีย์ เกิดภาวะลำไส้แปรปรวน
1.1.5 โรคประจำตัว
ท้องเสียไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น ไวรัส แบคทีเรีย ปรสิต ฯลฯ เท่านั้น แต่ยังอาจเป็นอาการแสดงของโรคประจำตัวบางอย่างที่ซ่อนอยู่ได้อีกด้วย โดยอาจเป็นโรคทางระบบทางเดินอาหาร เช่น ลำไส้ใหญ่บวมเฉียบ กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน หรือโรคที่เกี่ยวกับระบบอื่นๆ เช่น โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์เป็นพิษ ฯลฯ
1.2 อาการ
อาการที่สังเกตได้ง่ายที่สุดเมื่อมีอาการท้องเสียเฉียบพลัน ได้แก่
- มีความถี่ในการขับถ่ายอุจจาระเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน อาจตั้งแต่หลายครั้งไปจนถึงหลายสิบครั้ง
- อุจจาระไม่เป็นรูปเป็นทรง อุจจาระเหลว
- อุจจาระเหลวเป็นน้ำ ขุ่น ไม่มีไข้หรือปวดท้อง อาจเป็นอาการของโรคอหิวาตกโรค (Vibrio cholerae)
- หากมีอาการถ่ายอุจจาระมีเลือดปน อาจเป็นอาการของลำไส้ใหญ่บวมอักเสบเนื่องจากแบคทีเรีย มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เช่น เชื้อ Shigella, Salmonella, E.coli, Campylobacter ฯลฯ
- อุจจาระมีเลือดปน มักมาพร้อมกับไข้ที่สูงกว่า 38.5 องศาเซลเซียส และกินเวลานานกว่า 2 วัน มักเริ่มจากอุจจาระเหลว แล้วเปลี่ยนเป็นอุจจาระมีเลือดปน พร้อมกับโรคบิด
ทั้งนี้ มีอาการบางอย่างที่บ่งชี้ถึงภาวะสุขภาพผิดปกติที่ผู้ป่วยและญาติควรสังเกต หากมีอาการดังต่อไปนี้ใด ๆ ควรรีบไปที่สถานพยาบาลหรือขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สาธารณสุข:
1.2.1. ภาวะขาดน้ำ
ภาวะขาดน้ำเป็นภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุดของอาการท้องเสียเฉียบพลัน โดยเฉพาะในเด็กและผู้สูงอายุ ต่อไปนี้คืออาการสำคัญที่ช่วยให้คุณสังเกตภาวะขาดน้ำจากอาการท้องเสียเฉียบพลันได้:
- รู้สึกกระหายน้ำ: นี่คืออาการแรกและสังเกตเห็นได้ง่ายที่สุดของภาวะขาดน้ำ เมื่อร่างกายสูญเสียน้ำที่จำเป็น คุณจะรู้สึกกระหายน้ำอย่างรุนแรง ปากแห้ง และอาจมาพร้อมกับอาการลิ้นแห้ง ติด
- ปัสสาวะน้อยลง: เมื่อร่างกายขาดน้ำ ปริมาณปัสสาวะจะลดลงอย่างมาก ผู้ป่วยอาจปัสสาวะน้อยกว่าปกติ ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม และมีกลิ่นฉุน
- อาการตาแห้ง: เบ้าตาลึกขึ้น หนังตาแห้ง และเยื่อบุตาขาดความชุ่มชื้น เป็นอาการที่ชัดเจนของการขาดน้ำ
- ผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่น: เมื่อผิวหนังขาดน้ำ ผิวจะหย่อนคล้อยและเกิดริ้วรอยได้ง่าย อาการนี้สามารถตรวจสอบได้โดยการบีบผิวหนังที่ต้นแขนด้านใน หากผิวหนังสูญเสียความยืดหยุ่นและค่อยๆ คืนสภาพหลังจากการบีบ แสดงว่าคุณอาจกำลังขาดน้ำ
- ชีพจรเต้นเร็ว: เมื่อร่างกายขาดน้ำ หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นเพื่อชดเชยปริมาณเลือดที่ไหลเวียนลดลง
- ความดันโลหิตตกเมื่อเปลี่ยนท่า: เมื่อลุกขึ้นยืนอย่างกะทันหัน ผู้ป่วยอาจรู้สึกเวียนศีรษะ มึนงง หรือแม้กระทั่งหมดสติเนื่องจากความดันโลหิตตกเมื่อเปลี่ยนท่า
- ความอ่อนล้า: ความอ่อนล้าเกิดจากการที่ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ ทำให้ระบบอวัยวะทำงานได้ไม่ปกติ
1.2.2 คลื่นไส้
อาการคลื่นไส้และอาเจียนเป็นอาการทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นได้จากภาวะสุขภาพต่างๆ มากมาย รวมถึงท้องเสีย อย่างไรก็ตาม ในกรณีท้องเสียเฉียบพลัน อาการอาเจียนมักจะปรากฏชัดเจนและรุนแรงกว่าอาการท้องเสีย ต่อไปนี้คือลักษณะบางประการที่ช่วยแยกแยะสาเหตุของอาการคลื่นไส้และอาเจียนในท้องเสียเฉียบพลันได้:
ท้องเสียจากพิษ:
- อาการ: อาเจียนเป็นอาการหลัก มักจะปรากฏขึ้นภายใน 2 ถึง 7 ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย อาการท้องเสียส่วนใหญ่มักไม่รุนแรงนัก บางครั้งอาจมีอาการปวดบิดร่วมด้วยแต่ไม่มีไข้
- สาเหตุ: เกิดจากสารพิษที่แบคทีเรียหรือจุลินทรีย์สร้างในอาหารที่ปนเปื้อน
กระเพาะลำไส้อักเสบเพราะไวรัส (Norwalk, Rota):
- อาการ: อาเจียนเป็นอาการหลัก มักมาพร้อมกับคลื่นไส้ ปวดท้อง และท้องเสีย อาจมีไข้ต่ำ (ประมาณ 37.5 องศาเซลเซียส) บางครั้งมีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ น้ำมูกไหล และไอ
- สาเหตุ: เกิดจากไวรัส Norwalk หรือ Rotavirus
2. วิธีแก้ท้องเสียเฉียบพลันในผู้ใหญ่ที่บ้านให้ได้ผลดีและรวดเร็วที่สุด
วิธีการรักษาอาการท้องเสียเฉียบพลันในผู้ใหญ่มักมุ่งเน้นไปที่การควบคุมอาการและทำให้ร่างกายคงที่ ต่อไปนี้คือมาตรการรักษาที่บ้านที่มีประสิทธิภาพ
- การชดเชยน้ำและอิเล็กโทรไลต์: ท้องเสียเฉียบพลันทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและอิเล็กโทรไลต์ที่จำเป็น ซึ่งนำไปสู่ภาวะขาดน้ำและความเหนื่อยล้า ดังนั้น การชดเชยน้ำและอิเล็กโทรไลต์จึงมีความสำคัญอย่างมากในการรักษาอาการท้องเสีย คุณควรดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ ผงเกลือแร่ หรือสารละลายอิเล็กโทรไลต์ตามคำแนะนำของแพทย์ หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม เบียร์ และสุรา เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้สามารถทำให้ท้องเสียแย่ลงได้
- อาหาร: เลือกอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้มขาว น้ำแกงไก่ ขนมปังปิ้ง กล้วย แอปเปิล หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารที่มีน้ำมันมาก อาหารดิบ และผลิตภัณฑ์จากนมจนกว่าอาการป่วยจะดีขึ้น ทานอาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ หลายมื้อในหนึ่งวันแทนที่จะเป็นมื้อหลักสามมื้อตามปกติ เคี้ยวอาหารให้ละเอียดก่อนกลืน
- การพักผ่อน: การพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้ร่างกายมีเวลาฟื้นตัว หลีกเลี่ยงการออกแรงมากเกินไปและนอนหลับพักผ่อนให้มาก
- ใช้ยา: ยาบางชนิดที่ไม่ต้องสั่งจากแพทย์ เช่น Pepto-Bismol หรือ Imodium สามารถช่วยบรรเทาอาการท้องเสีย เช่น ท้องเสียและการจุกเสียดได้ อย่างไรก็ตามคุณควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาใดๆ
- โพรไบโอติก: การใช้โพรไบโอติกมีประโยชน์กับระบบทางเดินอาหาร ซึ่งสามารถช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์และช่วยในการย่อยอาหาร จึงช่วยบรรเทาอาการท้องเสียและกระตุ้นการฟื้นตัว
2.1 ยาบางชนิดที่ใช้ในการรักษาอาการท้องเสีย
ยาจะช่วยรักษาอาการต่างๆ เช่น การชดเชยน้ำและเกลือแร่ ลดการหดเกร็งของลำไส้ ปรับความผิดปกติของการหลั่ง จึงลดอาการปวดท้องและลดความถี่ในการเข้าห้องน้ำ
กลุ่มยาลดการหดเกร็งของลำไส้เป็นกลุ่มยาที่ใช้ในการรักษาอาการท้องเสียเฉียบพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะที่ถ่ายเหลวออกมาหลายครั้ง กลุ่มยานี้ทำงานโดยการลดการบีบตัวของลำไส้ จึงชะลอกระบวนการเคลื่อนตัวของน้ำและเกลือแร่ในลำไส้ ด้วยวิธีนี้ ร่างกายจะมีเวลามากขึ้นในการดูดซับน้ำและเกลือแร่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของอุจจาระและลดจำนวนครั้งในการเข้าห้องน้ำ
Loperamide เป็นยาชนิดหนึ่งที่ใช้ในการรักษาอาการท้องเสียเฉียบพลันอันเกิดจากสาเหตุต่างๆ มากมาย รวมถึงไวรัส แบคทีเรีย อาการอาหารเป็นพิษ ฯลฯ หลักการทำงานหลักของยา คือ ยับยั้งเอนไซม์ encephalinase จึงทำให้สารที่หลั่งออกทางลำไส้จากพิษแบคทีเรียอหิวาตกโรคหรือที่เกิดจากการอักเสบลลดลง แต่ไม่มีผลต่อการหลั่งสารพื้นฐานอื่นๆ กลไกการทำงาน:
- Encephalinase คือเอนไซม์ที่มีบทบาทในการย่อยสลายสาร enkephalin ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่ไปกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้และการหลั่งสาร
- Loperamide ไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ encephalinase ทำให้ปริมาณสารเอ็นคีฟาลินในร่างกายลดลง
จึงทำให้การบีบตัวของลำไส้ลดลง น้ำและอิเล็กโทรไลต์ที่อยู่ในอุจจาระมีปริมาณลดลงด้วย จึงทำให้ภาวะท้องเสียลดลง
2.2 การปรับโภชนาการ
โภชนาการมีบทบาทสำคัญในการรักษาโรคท้องเสียเฉียบพลัน การรับประทานอาหารที่เหมาะสมจะช่วยชดเชยน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปได้ นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการท้องเสียและช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
BRAT Diet เป็นอาหารที่มักแนะนำให้รับประทานในผู้ที่เป็นโรคท้องเสียเฉียบพลัน โดย BRAT ย่อมาจาก Banana (กล้วย), Rice (ข้าวขาว), Applesauce (แอปเปิลบด) และ Toast (ขนมปังปิ้ง)
2.3 การพักผ่อนอย่างเพียงพอ
นอกจากการรับประทานอาหารที่เหมาะสมแล้ว การพักผ่อนอย่างเพียงพอก็เป็นสิ่งสำคัญในการรักษาโรคท้องเสียเฉียบพลันเช่นกัน เมื่อเกิดอาการท้องเสีย ร่างกายจะสูญเสียน้ำและเกลือแร่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียและหมดแรง การพักผ่อนจะช่วยให้ร่างกายมีเวลาฟื้นฟู รวบรวมพลังงาน และกลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง
3. ผลไม้บางชนิดช่วยรักษาอาการท้องเสีย
ถึงแม้ว่าท้องเสียมักจะไม่ร้ายแรง แต่ก็อาจทำให้ร่างกายขาดน้ำได้หากไม่ได้รับการรักษา สิ่งสำคัญคือต้องดื่มน้ำมากๆ เพื่อชดเชยน้ำที่สูญเสียไปและรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย
ผลไม้บางชนิดอาจช่วยรักษาอาการท้องเสียได้ ผลไม้เหล่านี้อุดมไปด้วยเส้นใย น้ำ และอิเล็กโทรไลต์ที่ช่วยให้ขับถ่ายเป็นก้อนและลดจำนวนครั้งที่ต้องเข้าห้องน้ำ ต่อไปนี้คือผลไม้บางชนิดที่เหมาะสำหรับผู้ที่ท้องเสีย
- กล้วย: กล้วยเป็นแหล่งโพแทสเซียมที่ดี ซึ่งโพแทสเซียมเป็นแร่ธาตุที่ช่วยปรับสมดุลของเหลวในร่างกาย กล้วยยังมีเส้นใยละลายน้ำได้ ซึ่งเส้นใยนี้ช่วยให้ขับถ่ายเป็นก้อนได้
- แอปเปิล: แอปเปิลก็เป็นแหล่งเส้นใยที่ดีเช่นกัน แอปเปิลมีทั้งเส้นใยละลายน้ำได้และไม่ละลายน้ำ ซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และลดอาการท้องเสีย
- ฝรั่ง: ฝรั่งเป็นแหล่งเพกตินที่ดี ซึ่งเพกตินเป็นเส้นใยละลายน้ำได้ที่ช่วยให้ขับถ่ายเป็นก้อน ฝรั่งยังมีวิตามินซีที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน
- บลูเบอร์รี: บลูเบอร์รีมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายจากแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้บลูเบอร์รียังมีเส้นใยที่ช่วยลดอาการท้องเสีย
- สตรอว์เบอร์รี: สตรอว์เบอร์รีเป็นแหล่งวิตามินซีและเส้นใยที่ดี นอกจากนี้สตรอว์เบอร์รียังมีสารต้านการอักเสบที่ช่วยลดการอักเสบในลำไส้
4. วิธีป้องกันโรคท้องร่วง
ท้องร่วงเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อย ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ทำให้เกิดความไม่สะดวกและสร้างความรำคาญในชีวิตประจำวันได้มาก อย่างไรก็ตาม การป้องกันโรคท้องร่วงสามารถทำได้โดยการนำมาตรการง่ายๆ แต่ได้ผลเหล่านี้ไปใช้
- สุขอนามัยส่วนบุคคล: ล้างมือบ่อยๆ: ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ หลังทิ้งขยะ หลังเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก และหลังเล่นกับสัตว์เลี้ยง สุขอนามัยในบ้าน: รักษาความสะอาดของบ้าน โดยเฉพาะในส่วนของห้องครัวและห้องน้ำ ให้สะอาด แห้งอยู่เสมอ สุขอนามัยของอาหาร: ล้างผักและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน ปรุงอาหารให้สุกโดยเฉพาะเนื้อ สัตว์ทะเล และไข่ จัดเก็บอาหารในตู้เย็นอย่างถูกวิธี
- ใช้น้ำสะอาด: ดื่มน้ำต้มสุก: ดื่มเฉพาะน้ำที่ต้มสุกแล้วหรือน้ำดื่มบรรจุขวดที่มีมาตรฐานด้านสุขอนามัย หลีกเลี่ยงการใช้น้ำสกปรก: หลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อมาดื่ม ปรุงอาหาร หรือล้างหน้า
- สุขอนามัยของสิ่งแวดล้อม: ใช้ห้องน้ำที่มีสุขอนามัย: ทุกครอบครัวควรมีห้องน้ำที่ถูกสุขลักษณะและได้มาตรฐานความปลอดภัย จัดการขยะอย่างถูกวิธี: รวบรวมขยะใส่ถังที่มีฝาปิดมิดชิด นำขยะไปทิ้งยังจุดที่กำหนด หลีกเลี่ยงการขับถ่ายในที่สาธารณะ: หลีกเลี่ยงการขับถ่ายในที่สาธารณะหรือแหล่งน้ำ
- การกินดื่มที่ถูกสุขลักษณะ: กินอาหารที่ปรุงสุก ร้อน: ควรรับประทานแต่อาหารที่ผ่านการปรุงสุกอย่างทั่วถึง ไม่ควรรับประทานอาหารดิบหรือสุกๆดิบๆ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารข้างทาง: ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารข้างทางที่ไม่สะอาดไม่ถูกสุขลักษณะ เลือกอาหารที่มีแหล่งที่มาที่ชัดเจน: ควรซื้ออาหารจากร้านที่น่าเชื่อถือ มีแหล่งที่มาที่ชัดเจน ล้างมือให้สะอาดก่อนปรุงอาหาร: ควรล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำก่อนปรุงอาหารทุกชนิด
- การแยกผู้ป่วย: เมื่อมีสมาชิกในครอบครัวป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน: ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง โดยเฉพาะเด็กเล็ก ผู้ป่วยโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลัน: ควรพักอยู่บ้าน หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโรค
- การใช้ยาอย่างถูกวิธี: ใช้ยาตามคำสั่งของแพทย์เท่านั้น: ไม่ควรซื้อและใช้ยาเองเมื่อมีอาการท้องเสีย ดื่มน้ำให้มากๆ: ดื่มน้ำให้มากๆเพื่อทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไปจากอาการท้องเสีย
- การได้รับการฉีดวัคซีนอย่างครบถ้วน: ฉีดวัคซีนป้องกันโรคอุจจาระร่วงที่เกิดจากเชื้อโรต้าไวรัส: วัคซีนนี้มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันโรคอุจจาระร่วงเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อโรต้าไวรัส โดยเฉพาะในเด็ก
- การเพิ่มจิตสำนึก: รณรงค์การป้องกันและควบคุมโรคอุจจาระร่วง: เพิ่มจิตสำนึกของชุมชนเกี่ยวกับความสำคัญของการป้องกันโรคอุจจาระร่วง เข้าร่วมกิจกรรมสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม: รักษาที่อยู่อาศัยให้สะอาดและปลอดภัย
5. ข้อควรระวังเมื่อรักษาโรคท้องร่วงเฉียบในผู้ใหญ่
เมื่อทราบสาเหตุของโรคท้องร่วง วิธีการรักษาโรคท้องร่วงเฉียบในผู้ใหญ่แล้ว คุณจำเป็นต้องดำเนินมาตรการต่อไปนี้เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนหรือบรรเทาอาการ:
- ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังเข้าห้องน้ำ ทิ้งขยะ เปลี่ยนผ้าอ้อม หรือเล่นกับสัตว์เลี้ยง
- รักษาความสะอาดของบ้าน อย่าใช้มูลของผู้ป่วยโรคท้องร่วงเพื่อบำรุงต้นไม้หรือทิ้งในแหล่งน้ำ
- ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกแล้ว ดื่มน้ำต้มสุก และหลีกเลี่ยงการรับประทานผักสดในช่วงเวลานี้
6. โพรไบโอติก BIOPRO – สุขภาพลำไส้ ป้องกันโรคท้องร่วง
โพรไบโอติก BIOPRO เป็นผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพที่มีแบคทีเรียที่มีประโยชน์ต่อลำไส้ ช่วยสนับสนุนระบบทางเดินอาหารและเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน ส่วนประกอบหลักของ โพรไบโอติก BIOPRO :
- Bacillus clausii: เป็นที่รู้จักในเรื่องความสามารถในการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดของกระเพาะและไปถึงลำไส้ที่ซึ่งสามารถออกฤทธิ์ได้ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการรักษาอาการท้องเดินและปัญหาการย่อยอาหารอื่นๆ
- Bacillus subtilis: เป็นที่รู้จักในเรื่องความสามารถในการอยู่รอดในสภาพแวดล้อมที่รุนแรงของระบบทางเดินอาหาร ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้และช่วยให้สุขภาพโดยรวมของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น Bacillus subtilis ยังสามารถช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันได้อีกด้วย
- Bacillus coagulans: โพรไบโอติกชนิดนี้เป็นที่รู้จักในเรื่องความสามารถในการผลิตกรดแล็กติก ซึ่งช่วยสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นกรดในลำไส้ ซึ่งไม่เหมาะสมกับแบคทีเรียที่เป็นอันตราย Bacillus coagulans ยังสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกและช่วยให้การดูดซึมสารอาหารดีขึ้นได้อีกด้วย
ประโยชน์ของโพรไบโอติก BIOPRO:
- ปรับปรุงสุขภาพของลำไส้: โพรไบโอติก BIOPRO ช่วยปรับสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ช่วยย่อยอาหาร เพิ่มการดูดซึมสารอาหาร และลดความเสี่ยงในการเกิดโรคในลำไส้
- ป้องกันอาการท้องเดิน: โพรไบโอติก BIOPRO ช่วยกำจัดแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในลำไส้ จึงป้องกันอาการท้องเดินที่เกิดจากแบคทีเรีย ไวรัส หรือจากการใช้ยาปฏิชีวนะ
- เพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน: โพรไบโอติก BIOPRO ช่วยเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน จึงช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับสิ่งที่ทำให้เกิดโรคได้
- ช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้: โพรไบโอติก BIOPRO อาจช่วยรักษาโรคเกี่ยวกับลำไส้บางชนิด เช่น กลุ่มอาการลำไส้แปรปรวน (IBS) โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ และโรค Crohn
7. เอกสารอ้างอิง
https://www.webmd.com/digestive-disorders/understanding-diarrhea-prevention
https://www.verywellhealth.com/what-to-eat-for-diarrhea-1944822
https://www.mayoclinic.org/diseases-conditions/diarrhea/symptoms-causes/syc-20352241