ท้องผูกเป็นปัญหาที่พบบ่อยที่คุณแม่ตั้งครรภ์มักประสบ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ภาวะนี้จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสุขภาพของคุณแม่และกระบวนการพัฒนาของทารกในครรภ์ ดังนั้น ลองสำรวจวิธีที่มีประสิทธิภาพเพื่อบรรเทาอาการท้องผูกในช่วงตั้งครรภ์ได้เลย
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/21895-pregnancy-constipation
1. ทำไมคุณแม่ตั้งครรภ์จึงมีอาการท้องผูกได้ง่าย?
ในระหว่างตั้งครรภ์ มีหลายปัจจัยที่ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการท้องผูกได้ง่าย ต่อไปนี้คือสาเหตุหลักๆ ที่ทำให้คุณแม่ตั้งครรภ์มีอาการท้องผูก
1.1 การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
ในระหว่างตั้งครรภ์ ร่างกายสร้างฮอร์โมนหลากหลายชนิด เช่น โปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจน ฮอร์โมนเหล่านี้อาจทำให้การย่อยทำงานช้าลงด้วยการทำให้กล้ามเนื้อเรียบของลำไส้อ่อนลง ซึ่งทำให้การเคลื่อนไหวของอาหารผ่านทางเดินลำไส้ช้าลงและก่อให้เกิดท้องผูก
1.2 แรงกดของทารกในครรภ์
การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์และมดลูกที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอาจทำให้เกิดแรงกดต่ออวัยวะโดยรอบได้ รวมทั้งลำไส้ กระเพาะอาหาร เส้นประสาท และเส้นเลือดดำบริเวณอุ้งเชิงกราน นอกจากนี้ มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้นยังใช้พื้นที่ในระบบย่อยอาหาร ซึ่งอาจลดความสามารถในการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของลำไส้ลงและทำให้การย่อยอาหารช้าลง
1.3 โภชนาการ
การขาดใยอาหารและน้ำในอาหารประจำวันอาจทำให้การย่อยช้าลงและเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการท้องผูก ใยอาหารเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยสร้างก้อนอุจจาระอ่อนนุ่มและเคลื่อนที่ในลำไส้ได้ง่าย ในทางตรงกันข้าม การรับประทานมากเกินไปอาจทำให้เกิดการสะสมของอาหารและท้องผูกได้
1.4 อาการคลื่นไส้และอาเจียนเนื่องจากแพ้ท้อง
อาการคลื่นไส้อาเจียน มักเกิดในช่วง3 เดือนแรกของตั้งครรภ์ ซึ่งการอาเจียนอาจทำให้เกิดภาวะขาดน้ำและสูญเสียน้ำในร่างกาย รวมถึงสารอาหารที่สำคัญ จึงส่งผลต่อการย่อยอาหารตามปกติ โดยทำให้การขับถ่ายอุจจาระแข็งตัวมากกว่าปกติ ส่งผลให้ขับถ่ายลำบาก
1.5 ความขี้เกียจเคลื่อนไหว
เนื่องจากร่างกายเมื่อตั้งครรภ์จะมีน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะท้องที่ใหญ่ขึ้นในช่วงปลายๆการตั้งครรภ์ จึงส่งผลให้คุณแม่ต้องเคลื่อนไหวลำบากมากขึ้น ความเมื่อยล้าและขี้เกียจเคลื่อนไหวก็อาจส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกได้เช่นกัน
1.6 เป็นโรคเบาหวาน ภาวะไทรอยด์ต่ำ
คุณแม่ตั้งครรภ์ที่มีภาวะเป็นโรคเบาหวาน หรือมีภาวะไทรอยด์ต่ำ ก็อาจเกิดอาการท้องผูกได้บ่อยๆ นอกจากนี้การที่ได้รับธาตุเหล็กและธาตุแคลเซียมในปริมาณที่มากเกินไปในเวลาเดียวกันก็อาจทำให้ร่างกายดูดซึมไม่ทัน จึงส่งผลให้เกิดอาการท้องผูกได้อีกด้วย
1.7 อั้นการขับถ่าย
การอดทนในการขับถ่ายปัสสาวะหรืออุจจาระเมื่อปวดมักส่งผลให้ระบบการทำงานของลำไส้ผิดปกติและอาจนำไปสู่ภาวะท้องผูก เนื่องจากอุจจาระที่ยังขับถ่ายไม่ออกก็จะถูกทิ้งเอาไว้ในลำไส้ ลำไส้ก็จะดูดซึมน้ำกลับคืนไป ทำให้อุจจาระแข็งตัว การอดทนการขับถ่ายจนนานเกินไปก็ถือเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการท้องผูกในคุณแม่ตั้งครรภ์ได้
https://natalist.com/blogs/learn/constipation-relief-during-pregnancy
2. 7 วิธีรักษาอาการท้องผูกของหญิงตั้งครรภ์ที่เร็วที่สุด
อาการท้องผูกเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในระหว่างตั้งครรภ์ และอาจทำให้หญิงตั้งครรภ์รู้สึกหงุดหงิด อย่างไรก็ตาม มีวิธีต่างๆ ที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการรักษาภาวะนี้ ในบทความนี้ เราจะแนะนำ 7 วิธีรักษาอาการท้องผูกของหญิงตั้งครรภ์ เพื่อช่วยให้คุณพบวิธีแก้ไขที่เหมาะสม
2.1 ดื่มน้ำให้มาก
การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นวิธีที่ง่ายและสำคัญที่สุดในการลดอาการท้องผูก โดยการรักษาระดับน้ำให้เพียงพอ คุณช่วยให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น และป้องกันภาวะท้องผูก พยายามดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้วต่อวัน และเสริมด้วยน้ำผลไม้จากผักและผลไม้สด
2.2 เสริมโปรไบโอติก
โปรไบโอติกสามารถช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ และปรับปรุงการทำงานของระบบย่อยอาหาร คุณสามารถรับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีโปรไบโอติกสูง เช่น โยเกิร์ต โยเกิร์ตหมัก หรือนมเปรี้ยวที่เสริมโปรไบโอติกเพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องผูก แต่โปรดปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน
2.3 เปลี่ยนอาหาร
การเพิ่มปริมาณเส้นใยในอาหารประจำวันของคุณเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันอาการท้องผูก รับประทานผักและผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และผลไม้สดเพื่อเพิ่มปริมาณเส้นใยในร่างกาย ในขณะเดียวกัน หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้ท้องผูก เช่น ข้าวขาว กล้วย และของอบ หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ กาแฟ น้ำอัดลม และการสูบบุหรี่ในระหว่างตั้งครรภ์
2.4 ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายแบบเบาๆ เช่น การเดิน การว่ายน้ำ และโยคะ ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้และลดอาการท้องผูกได้ สละเวลาวันละ 20-30 นาทีเพื่อออกกำลังกายเบาๆ ให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ตามความเหมาะสมกับสภาพร่างกาย
2.5 เสริมธาตุเหล็กอย่างถูกวิธี
หญิงตั้งครรภ์จำเป็นต้องเสริมธาตุเหล็กเพื่อป้องกันภาวะโลหิตจาง แต่ยาเสริมธาตุเหล็กบางชนิดอาจทำให้เกิดอาการท้องผูกได้ ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อปรับเปลี่ยนปริมาณหรือเลือกรับประทานชนิดที่เหมาะสม
2.6 ใช้ยาแก้ท้องผูกอย่างระมัดระวัง
การใช้ยาแก้ท้องผูกถือเป็นวิธีที่ช่วยบรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาเสมอ แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำเรื่องชนิดของยาและปริมาณที่เหมาะสมกับสภาวะท้องผูกของคุณ
2.7 อย่ากลั้นถ่าย
การกลั้นอุจจาระจะยิ่งทำให้สตรีตั้งครรภ์ที่มีอาการท้องผูกและริดสีดวงทวารมีอาการรุนแรงขึ้น ดังนั้นเมื่อปวดถ่ายควรรีบเข้าห้องน้ำและอย่าได้กลั้นไว้ นอกจากนี้ ควรสังเกตท่าทางขณะถ่ายอุจจาระ เพื่อลดแรงเบ่งและป้องกันไม่ให้เกิดริดสีดวงทวาร
https://unmhealth.org/stories/2023/06/5-tips-relieve-pregnancy-consumption.html
3. ผลไม้บางชนิดที่ช่วยแก้ท้องผูกสำหรับหญิงตั้งครรภ์
โภชนาการที่ดีและผลไม้บางชนิดสามารถช่วยให้คุณคลายท้องผูกได้เองตามธรรมชาติและปลอดภัยสำหรับเด็กในครรภ์ มาดูผลไม้ที่มีประโยชน์ด้านล่างนี้เพื่อช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น และช่วยให้ร่างกายกลับมามีสุขภาพดี
ลูกแพร์: ลูกแพร์เป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์และน้ำสูง ซึ่งสามารถกระตุ้นการขับถ่ายในลำไส้และบรรเทาท้องผูกได้ เมื่อรับประทานลูกแพร์เป็นอาหารประจำวัน คุณจะได้รับประโยชน์ทางโภชนาการและช่วยในการย่อยอาหาร
ทับทิม: ทับทิมเป็นแหล่งไฟเบอร์ที่ดีเยี่ยมและมีสารต้านอนุมูลอิสระ ผลไม้นี้สามารถกระตุ้นการขับถ่ายในลำไส้ได้ ซึ่งช่วยให้คุณคลายท้องผูกได้อย่างเป็นธรรมชาติและได้ผล
สตรอว์เบอร์รี: สตรอว์เบอร์รีเป็นผลไม้ที่มีไฟเบอร์และน้ำสูง ซึ่งสามารถช่วยคลายท้องผูกได้อย่างอ่อนโยน คุณสามารถเพลิดเพลินกับสตรอว์เบอร์รีสดเพื่อให้ได้ประโยชน์ด้านสุขภาพสำหรับคุณและทารกในครรภ์
แอปเปิ้ล: แอปเปิ้ลเป็นแหล่งไฟเบอร์ น้ำ และสารอาหารขนาดเล็กต่างๆ การรับประทานแอปเปิ้ลในแต่ละวันจะสามารถกระตุ้นการขับถ่ายในลำไส้และช่วยให้คุณคลายท้องผูกได้
กล้วย: กล้วยอุดมไปด้วยไฟเบอร์และโพแทสเซียม จึงช่วยในการขับถ่ายและช่วยในการย่อยอาหาร กล้วยหนึ่งลูกเป็นอาหารว่างที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางโภชนาการสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์
ถั่ว: ถั่วไม่เพียงแค่มีรสชาติอร่อยเท่านั้น แต่ยังมีไฟเบอร์และน้ำในปริมาณสูง ซึ่งช่วยในการขับถ่ายและการทำงานของลำไส้ คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับถั่วสดที่มีความอร่อยและสารอาหารสูง เพื่อช่วยลดอาการท้องผูกในช่วงตั้งครรภ์
การเพิ่มผลไม้เหล่านี้ลงในอาหารประจำวัน สามารถช่วยให้คุณลดอาการท้องผูกได้อย่างเป็นธรรมชาติและปลอดภัยตลอดระหว่างตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการก่อนที่จะเปลี่ยนอาหารของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณตั้งครรภ์อยู่
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณกินอาหารที่มีความสมดุลและมีสารอาหารมากมาย รวมถึงผลไม้และผักหลากหลายชนิด นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน และมีไลฟ์สไตล์ที่มีสุขภาพดี ซึ่งรวมถึงกิจกรรมการออกกำลังกายเป็นประจำ
4. โพรไบโอติก BIOPRO ช่วยเรื่องท้องผูกสำหรับหญิงตั้งครรภ์
หากคุณตั้งครรภ์และมีอาการท้องผูก ไม่ต้องกังวล! เรามีวิธีแก้ปัญหาที่เป็นธรรมชาติและปลอดภัยเพื่อช่วยการย่อยอาหารของคุณ นั่นก็คือการใช้โพรไบโอติก BIOPRO ด้วยสูตรที่พิเศษโดยเฉพาะสำหรับหญิงตั้งครรภ์ โพรไบโอติก BIOPRO เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงซึ่งออกแบบมาเพื่อลดอาการท้องผูกและมอบความสบายตัวให้กับคุณ
โพรไบโอติก Biopro ประกอบด้วยแบคทีเรียที่มีประโยชน์ตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยปรับสมดุลของระบบจุลินทรีย์ในลำไส้และเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยอาหาร แบคทีเรียที่มีประโยชน์เหล่านี้ช่วยในการย่อยอาหาร ลดอาการท้องผูก และช่วยในการดูดซึมสารอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โพรไบโอติก Biopro ผลิตขึ้นจากส่วนประกอบที่ปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อคุณและทารกในครรภ์
การใช้โพรไบโอติกs Biopro นั้นง่ายมาก คุณเพียงแค่ต้องรับประทานโพรไบโอติกวันละหนึ่งครั้ง ตามคำแนะนำของแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการโพรไบโอติก Biopro ไม่เพียงแค่ช่วยในการย่อยอาหารเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและพัฒนาสุขภาพโดยรวมอีกด้วย
ด้วยโพรไบโอติก Biopro คุณสามารถเพลิดเพลินในขณะตั้งครรภ์ได้อย่างสบายและสงบสุขโดยไม่ต้องกังวลเรื่องอาการท้องผูก อย่าปล่อยให้ปัญหาย่อยอาหารมามีผลต่อสุขภาพของคุณและทารกในครรภ์ เลือกใช้โพรไบโอติก Biopro เพื่อช่วยให้คุณย่อยอาหารได้ดีที่สุดและมีสุขภาพดีตลอดการตั้งครรภ์
5. เอกสารอ้างอิง
https://unmhealth.org/stories/2023/06/5-tips-relieve-pregnancy-consumption.html
https://natalist.com/blogs/learn/constipation-relief-during-pregnancy
https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/21895-pregnancy-constipation